The Shack (2017) กระท่อมเหนือปาฏิหาริย์

20819188_1735484123149048_7120561549812261016_o

ระหว่างดูหนังเรื่องนี้ผมก็นึกถึงเรื่องๆ หนึ่งขึ้นมาได้ อันนี้เจอกับตัวเองครับ ตอนนั้นเขียนอยู่ Bloggang เขียนถึง Watchmen เสียยาวยืด ส่วนหนึ่งก็เพราะดูแล้วชอบมากมายเลยร่ายแบบยาวสุดๆ ก่อนจะตบมุกตอนท้ายด้วยคำว่า “ฮาเลลูยา”

ปรากฏว่า “ฮาเลลูยา” นั้นทำให้ผมโดนบางคอมเมนต์เข้าใจผิด เขาคงคิดว่าผมพยายามเผยแผ่ศาสนาเลยใส่ผมซะยาวยืด โดยใจผมนั้นอยากบอกใจจะขาดว่า “ฮาเลลูยา” ที่ผมเขียนไม่ได้มีนัยทางศาสนาใดๆ ทั้งสิ้น

แต่ที่เขียนน่ะ ผมเล่นมุกสื่อถึงฉากที่มี 2 ตัวละครทำอะไรต่อมิอะไรกันบนยานกลางฟากฟ้า (ใครดูแล้วน่าจะจำได้) โดยเพลง Soundtrack ประกอบฉากที่ว่ามีท่อนฮุกสำคัญคือ “ฮาเลลูยา” ผมเลยดึงมาใช้ให้คนที่ดูหนังเรื่องนี้แล้วเก็ทเท่านั้นเอง ว่านั่นเป็นหนึ่งในฉากที่ผมจำได้แม่น (และเชื่อว่าหลายคนก็ลืมไม่ลง 5555)

เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ผมตระหนักว่า คำกล่าวที่เขาบอกกันว่า “เรื่องการเมือง เรื่องศาสนา ไม่จำเป็นอย่าไปคุย เพราะดีไม่ดีอาจทำให้เกิดการผิดใจหรือไม่ก็ทะเลาะกันได้” เป็นข้อเท็จจริงทางสังคมในระดับหนึ่ง เพราะคนเราต่างกัน คิดไม่เหมือนกัน หรือต่อให้คิดเหมือนกันก็ตาม ทว่าความเข้มข้นของความคิดก็อาจไม่เท่ากัน

ที่ร่ายเกริ่นมาไกลก็เพราะว่าหนังเรื่องนี้อาจทำให้หลายคนรู้สึกว่าหนังพยายามเผยแผ่ศาสนาคริสต์ครับ พูดตรงๆ คือท่านอาจเกิดกำแพงต่อหนังเรื่องนี้ขึ้นมาก็ได้ ซึ่งเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องเฉพาะตัวครับ หากท่านคิดเช่นนั้น ผมก็ไม่ขอก้าวล่วง

ส่วนผมนั้นก็เป็นชาวพุทธตามบัตรประชาชนครับ แต่ผมก็พร้อมเรียนรู้หลักธรรมคำสอนของศาสนาอื่นๆ เพื่อทำความเข้าใจแง่มุมต่างๆ ของชีวิต เพราะว่าตามจริงแล้วแก่นของศาสนาต่างๆ ล้วนม่ีความน่าสนใจ บางบริบทก็ทำให้เราเข้าใจแนวคิดของพวกเขา และในบางบริบทก็สะท้อนประวัติศาสตร์ของชนชาตินั้นๆ ได้เลยทีเดียว

นอกจากนี้ผมว่าแก่นหลักของศาสนาก็มุ่งเน้นให้คนทำดีต่อกัน เอื้อเฟื้อเกื้อกูล ลดทอนความเห็นแก่ตนแล้วหันมาเห็นแก่กัน คำสอนส่วนใหญ่ก็เป็นเหมือนคำแนะนำในการดำรงชีวิต แนะแนวทางการปฏิบัติตน ร่วมถึงบอกวิธีรับมือกับความทุกข์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต

ดังนั้นถ้าเราถอด “ตราประทับ” ว่าคำสอนนี้มาจากศาสนาใด แล้วมองที่เนื้อหาใจความอันจริงแท้ของคำสอนนั้นๆ เราก็อาจพบว่าหลายๆ คำสอนของแต่ละศาสนาก็สอดคล้องกัน บางคำสอนอาจจะตรงกันเลยด้วยซ้ำ แค่มีคำเรียกต่างกันก็เท่านั้นเอง

สำหรับ The Shack นี้ก็ว่าด้วยเรื่องของ แม็ค ฟิลลิปส์ (Sam Worthington) ชายที่ต้องสูญเสียลูกสาวตัวน้อยไป เขาจมอยู่กับความเศร้าอย่างที่สุด จนมันส่งผลกระทบต่อชีวิต ทำให้เขาห่างเหินกับภรรยาและลูกคนอื่นๆ… เขาไม่สามารถปล่อยวางความเจ็บปวดนั้นไปได้

แต่แล้ววันหนึ่งก็มีจดหมายส่งมาถึงเขา บอกให้เขาเดินทางไปยัง “กระท่อม” อันเป็นสถานที่ที่ทำให้เขาเจ็บปวดที่สุด (เพราะนั่นคือที่แห่งสุดท้ายที่มีร่องรอยของลูกสาวเขา) ตอนแรกเขาก็สับสนครับ แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งเขาก็ยอมไป และที่แห่งนั้นก็มีปาฏิหาริย์สุดจินตนาการรอเขาอยู่…

เรามาพูดกันทีละแง่ครับ เอาแง่ความเป็นหนังก่อน ผมรู้สึกกับหนังเรื่องนี้คล้ายๆ กับเรื่อง What Dreams May Come (ที่ Robin Williams นำแสดง) ที่ชายคนหนึ่งต้องฝ่าด่านความเจ็บปวด พบเจอเรื่องอัศจรรย์ ซึ่งหนังเรื่องนี้ในตอนต้นก็อาจเดินเรื่องช้าอยู่บ้าง แต่ผมก็ว่าไม่น่าเบื่อนะ เป็นการปูพื้นและแนะนำตัวละครที่ค่อนข้างพอเหมาะ

ครั้นพอแม็คไปถึงกระท่อม และพอเขาเริ่มเจอกับเรื่องเหลือเชื่อ ในแง่งาน CG ถือว่าทำได้น่าพอใจเลยครับ มันอาจไม่ได้วิจิตรพิสดารแบบ What Dreams น่ะนะครับ แต่ถือว่าทำได้พอเหมาะ มีการใช้ CG เสริมอารมณ์ เสริมความอัศจรรย์ตามท้องเรื่องได้กำลังดีทีเดียว (ชอบฉากที่แม็คเดินเข้ามายังโซนป่าที่เขียวชะอุ่ม ในขณะที่ด้านหลังลิบๆ ยังเป็นหิมะน่ะครับ การจัดแสงต่างๆ มันพอดีจริงๆ)

ผมชอบที่หนังใช้ CG เสริมเท่าที่จะเป็นครับ และอภินิหารในหนังก็ไม่ได้เว่อร์วังอะไร เหมือนคนทำก็รู้ว่าจริงๆ เขาต้องการเล่าเนื้อเรื่อง และเล่าแง่คิดมากกว่าจะโชว์เทคนิค เลยทำให้ผลที่ได้ออกมาค่อนข้างกลมกล่อม ดูเพลินในระดับหนึ่ง ซึ่งถ้าว่ากันถึงการเล่าเรื่องแล้ว ก็ถือว่าทำได้น่าพอใจครับ

หนังกำกับโดย Stuart Hazeldine ที่เคยฝากผลงานไว้ใน Exam หนังระทึกขวัญที่หลายคนน่าจะยังจำได้ มาเรื่องนี้ผมว่าเขาก็ยังคุมทิศทางหนังได้ดีครับ ยังจับความสนใจของผู้ชมได้ดี เพียงแต่ถ้าว่ากันถึงเทคนิคการเล่าเรื่อง การวางปมแล้ว เรื่อง Exam อาจจะเหนือกว่าหน่อย แต่ส่วนหนึ่งก็เพราะหนังคนละแนวด้วยล่ะครับ เรื่องนั้นมันระทึก แต่เรื่องนี้ดราม่า

พลังสำคัญของหนังต้องยกให้การแสดงครับ Worthington ถือว่าแสดงฝีมือได้อย่างดี เขาดูเป็นคนอมทุกข์ แต่ก็ไม่ได้เศร้าฟูมฟาย เรียกว่าดูเศร้าในแบบที่เหมาะกับแคแรคเตอร์ความเป็นเขา ในขณะที่ Octavia Spencer รับบท ปาป้า หญิงกลางคนที่อาจเรียกได้ว่าเป็น “พระเจ้า” ซึ่งเธอก็วางใจได้ครับ แสดงได้ดีอยู่แล้ว

คนอื่นๆ ก็เจ๋งครับ Avraham Aviv Alush ในบทช่างไม้ (หรือ Jesus) ก็วางตัวได้น่าเชื่อถือ แต่คนที่ผมชอบสุดคงต้องยกให้ Sumire Matsubara อีกหนึ่งบุคคลที่อยู่ในกระท่อมมิติอัศจรรย์แห่งนั้น ผมชอบการวางตัวของเธอน่ะครับ คือจริงๆ เธอสวยมากนะ สวยจนน่าจะทำให้หนุ่มๆ แอบปิ๊งได้เลย แต่เพราะการวางตัว การพูด การแสดงออก มันทำให้เรารู้สึกกับเธอในเชิงชู้สาวในระดับน้อยมากๆ และเธอกลับจะทำให้เราชื่นชม เคารพ ศรัทธาในฐานะเทพเทวดาผู้แนะนแนวทางต่อเราอะไรแบบนั้นมากกว่า ซึ่งอันนี้ผมประทับใจเลยล่ะครับ

หนังยาวสองชั่วโมงกว่า ตอนต้นอาจเรื่อยๆ ไปบ้าง และจริงๆ ทั้งเรื่องมันก็เรื่อยๆ ไม่ได้หวือหวาอะไร แต่หนังมาพร้อมบรรยากาศที่ดีครับ ช่วงที่แม็คอยู่กับพวกปาป้านั้นมันมีอะไรให้เราเรียนรู้ตลอด ไม่ว่าจะคำถามที่กระตุ้นให้เราฉุกคิด หรือปรัชญาต่างๆ ซึ่งถ้าใครชอบดูหนังที่มีแนวคิดดีๆ ผมก็ว่าท่านน่าจะชอบเรื่องนี้ครับ

สำหรับผมแนวคิดในเรื่องอาจไม่ได้อะไรที่ใหม่ ส่วนหนึ่งเพราะผมอ่านหนังสือธรรมะของศาสนาต่างๆ (พระไตรปิฎก, ท่านพุทธทาส, คัมภีร์ไบเบิ้ล หรือหนังสือว่าด้วยเซน, อิสลาม ฯลฯ) และปรัชญาของนักคิดต่างๆ (กฤษณมูรติ, OSHO, ตรุงปะ, “โลกของโซฟี” ฯลฯ) แต่ก็บอกได้ครับว่าหลักคิดหลายๆ อย่างรวมถึงคำถามบางประเด็นก็สอดคล้องกับหลักคิดที่ผมสนใจ เลยทำให้ผมรู้สึกสนุกเพลินไปกับหนัง

อาจเพราะมีหนังไม่กี่เรื่องหรอกครับที่จะเอาเรื่องราวทำนองนี้มาบอกเล่า ประเภทว่านำพาพระเจ้า, Jesus ฯลฯ มาปรากฏเป็นตัวละครแล้วก็สอนหลักธรรม ชี้แนวทางกันแบบตรงๆ ซึ่งผมเชื่อว่าจะมีบางท่านที่ไม่ชอบนะ ไม่ว่าจะไม่ชอบในเชิงว่า พวกท่านเป็นสิ่งสูง ไม่ควรนำมากล่าวอ้าง หรือจะไม่ชอบเหตุผล “ความต่างทางศาสนา” เป็นต้น

แต่ผมก็เชื่อว่าหากใครสนุกกับการคิด ชอบการใคร่ครวญ ไตร่ตรอง ก็น่าจะสนุกกับหนังเรื่องนี้ได้ครับ หรืออย่างน้อยก็น่าจะบังเกิดความดีใจที่โลกนี้เริ่มมีหนังในลักษณะนี้ปรากฏขึ้นมาบ้าง และลึกๆ ผมก็อยากให้มีหนังแบบนี้ออกมาอีกในอนาคตครับ

สิ่งหนึ่งที่ผมอยากบอกก็คือ เราไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับสิ่งที่หนังพร่ำบอกก็ได้ครับ เราอาจเกิดคำถาม เราอาจเกิดความสงสัย ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร มันคือสัญญาณอันดีว่าสมองเรายังทำงานอยู่ เราก็แค่ตั้งคำถาม แล้วก็หาคำตอบเพิ่ม หาคนคุยเพื่อแลกเปลี่ยน (แน่นอนว่าเราก็ต้องเปิดกว้างสำหรับความเห็นที่ต่างด้วยนะครับ) หรือลองขบคิดกับมันเพิ่มอีก เท่านี้เราก็ได้บริหารสมองเพิ่มแล้วล่ะครับ

คนกลุ่มหนึ่งที่ผมอยากให้ชมหนังเรื่องนี้คือคนที่มีความเศร้าอยู่ในใจครับ โดยเฉพาะความเศร้าอันเกิดจากการสูญเสีย เพราะหนังพยายามเยียวยาจิตใจของผู้สูญเสียโดยเฉพาะ ประเด็นสำคัญของเรื่องก็คือ เราอาจสูญเสีัย แต่หากเรายังมีชีวิตอยู่ เราก็ต้องพยายามทำให้ก้าวต่อไปของชีวิตไม่เสียหายอันเนื่องจากการสูญเสียนั้น

เราเสียไปหนึ่งสิ่งแล้ว หากเราต้องเสียสิ่งอื่นๆ ตามไปทีละอย่างๆ มันคงเป็นเรื่องเศร้าอย่างยิ่ง และชีวิตเราที่ต้องอยู่ไปท่ามกลางสภาวะแบบนั้นก็คงไม่ต่างจากการตายทั้งเป็น (และบางทีเราก็อาจทำให้คนใกล้ตัวของเรา พลอยตายทั้งเป็นตามไปด้วย)

เป็นหนังที่ผมอยากให้ลองดูกันครับ ในแง่ความบันเทิงผมว่ากลางๆ นะ คือไม่ได้เป็นหนังที่สนุกมากๆ แต่ก็ไม่ใช่หนังน่าเบื่อ เป็นหนังดราม่าปาฏิหาริย์ที่ดูเพลิน ดูแล้วได้พลัง ได้แนวคิด ได้แรงบันดาลใจ หรือไม่ก็จะได้ชาร์จพลังใจไม่มากก็น้อย ^_^

สำหรับผมแล้ว ผมไม่ผิดหวังครับ… ถ้าจะมีอะไรที่ผิดหวังก็คงเป็น เรื่องนี้ไม่มี Blu Ray เข้าไทยครับ ต้องไปจัดจากนอกอีกจนได้ T^T

สองดาวครึ่งครับ

Star22

(7/10)