The Legend of Tarzan (2016) ตำนานแห่งทาร์ซาน

13708278_1268735653157233_9170155396331852878_o

นอกจากหนัง Harry Potter ภาค 5 – 7.2 แล้วผมก็ยังไม่เคยได้สัมผัสฝีมือของผู้กำกับ David Yates อีกเลยครับ (รู้ว่าพี่แกเคยกำกับหนังทีวีอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มีโอกาสได้ชม)

สำหรับผมแล้วนี่จึงถือเป็นโอกาสสำคัญที่จะได้เห็นลีลาความเป็น Yates จริงๆ สักครั้ง โดยไม่มีอิทธิพลเรื่องโลกของเวทย์มนต์มาเป็นข้องเกี่ยว เพราะถัดจากเรื่องนี้ พี่แกก็โดนเรียกตัวกลับโลกเวทย์มนต์อีกจนได้ (ใน Fantastic Beasts)

ตัวหนังก็เป็นการเอาตำนานของทาร์ซานมาปลุกชีพอีกหนครับ โดยเล่าเรื่องประมาณว่าทาร์ซาน (Alexander Skarsgård) ถูกทางการส่งตัวไปยังคองโก โดยดูเผินๆ เหมือนจะเป็นการไปเพื่อนำความเจริญและสัมพันธไมตรีไปสู่ที่นั่น แต่ไปๆ มาๆ กลับมาเบื้องหลังมากกว่านั้น โดยคนชักใยก็คือ ลีออน รอม (Christoph Waltz) อันทำให้ทาร์ซานต้องพบกับการผจญภัยครั้งใหม่อีกหน

หนังเล่าเหตุการณ์ปัจจุบัน สลับกับย้อนให้เราเห็นอดีตของทาร์ซานเป็นพักๆ ว่าเขาถูกเลี้ยงมาโดยลิง และเขารู้จักกับเจน (Margot Robbie) ได้ยังไงก็ถือว่าหนังเล่าเรื่องราวทาร์ซานได้ครบในระดับหนึ่งครับ

ทีนี้ในแง่ความสนุก ก็ถือว่าดูเพลินได้ไม่เลว คือถ้าว่าในแง่เนื้อหานั้น จริงๆ พล็อตเปิดมาได้ดีครับ คือมันดูมีที่มาที่ไปว่าลีออน รอม มาเพื่ออะไร และตกลงอะไรกับใครไว้ ทำให้เรารู้เลยว่าการที่ทาร์ซานถูกส่งกลับมาเนี่ยมันต้องนำมาซึ่งความเดือดร้อนของทาร์ซานแน่ๆ

แต่หลังจากนั้นหนังก็ถือว่าลงสูตรน่ะครับ ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่สักเท่าไร เมื่อทาร์ซานต้องปกป้องป่าที่เขารักและหญิงที่เขารักไปพร้อมๆ กัน ซึ่งเราก็เดาได้แหละว่าสุดท้ายทาร์ซานของเราต้องชนะได้แหงๆ เลยทำให้ความลุ้นไม่ถึงกับมากเท่าไร

ถ้าถามว่าผมลุ้นตอนไหนสุด ผมว่าผมลุ้นตอนทาร์ซานเผชิญกับ Mbonga (Djimon Hounsou) มันดูน่าติดตามดีน่ะครับ อยากรู้ว่าเรื่องมันจะจบลงยังไง มันต้องตีกันจนตายจริงๆ เลยไหม จังหวะหลายๆ อย่างของฉากนั้น (รวมถึงการปูพื้นมาแต่แรก) ทำให้มันดูน่าสนใจ

ในขณะที่ฉากตอนปะทะกับพวกลีออน รอมแบบจริงจังในตอนท้ายแม้จะดูยิ่งใหญ่ แต่ก็ไม่ได้ใหญ่ถึงใจอะไรมากน่ะครับ ความมันส์ความลุ้นก็ออกแนวเรื่อยๆ ไม่ได้สะใจหรือสร้างความตื่นเต้นตื่นตาสักเท่าไร

โดยรวมแล้วผมชอบในส่วนของดาราครับ Skarsgård ถือว่าไม่เลวสำหรับบททาร์ซาน ในขณะที่ Robbie ก็ดูสวยและดูเป็นเจนได้อย่างน่าเชื่อถือ เพียงแต่บทอาจจะไม่เปิดโอกาสให้เธอได้ทำอะไรสักเท่าไรเท่านั้นเอง

ส่วน Waltz ในเรื่องนี้รับบทร้ายอีก แต่ก็ตกที่นั่งไม่ต่างจากตอนเล่นเป็นโบลเฟลด์ใน Spectre น่ะครับ คือไม่ได้เด่นหรือน่าสนใจอะไรมาก คนละเรื่องกับตอนเล่นเป็นผู้พันจอมโหดใน Inglourious Basterds จริงๆ

ไปๆ มาๆ ผมกลับชอบ Samuel L. Jackson ครับ พี่แกออกแนวบทสมทบนะ แต่ถือว่าชูรสได้ดี ไม่ได้เห็นบทพี่แกในแนว “ผู้ติดตามพระเอก ที่มาพร้อมความเปิ่นนิดๆ” มานานแล้ว เพราะหลังๆ นี่เล่นเป็นผู้นำตลอด แต่พอมาเล่นบทสไตล์นี้ พี่แกก็เล่นได้ดีครับ และยังช่วยเพิ่มรสชาติให้กับหนังได้อีกเยอะทีเดียว

สรุปว่าดูเรื่องนี้แล้ว ก็ยังไม่ได้ลิ้มความเป็น Yates แบบชัดๆ ครับ หลายอย่างจริงๆ ดูดี ดูโอเค แต่บทยังไม่ถึงขนาดลงตัวจัดๆ อีกทั้งความแปลกใหม่ก็ไม่เยอะ คนละแบบกับ The Jungle Book เมื่อต้นปีที่แม้พล็อตจะเดิมๆ แต่ลูกเล่นการนำเสนอมันจัดจ้านกว่า ความสนุกเลยมาเต็มมากกว่า ในขณะที่เรื่องนี้ก็ถือเป็นหนังผจญภัยอีกเรื่องที่ดูได้เรื่อยๆ แต่ยังไม่ถึงกับเด็ดขาดจนห้ามพลาด ^_^

สองดาวกว่าๆ ครับ

Star21

(6.5/10)