Sniper: Ultimate Kill (2017)

22540021_1802326973131429_7425893030710074761_n

โดยหลักแล้วนี่ถือเป็น Sniper ภาคที่มีความสำคัญมากสำหรับซีรี่ส์นี้ครับ เพราะเป็นภาคแรกที่เหล่าตัวเอกสไนเปอร์มารวมตัวกันแบบครบทุกคน (แบบที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน)

ได้แก่ แบรนดอน เบคเกตต์ (Chad Michael Collins) พระเอกภาค 4 – 6), โธมัส เบคเกตต์ (Tom Berenger) พระเอกสไนเปอร์ต้นตำรับที่เล่นนำใน 3 ภาคแรก และริชาร์ด มิลเลอร์ (Billy Zane) ที่ถือเป็นลูกศิษย์คนสำคัญของโธมัส

ภาคนี้แบรนดอนต้องช่วย DEA ในการล่าตัวเจ้าพ่อค้ายาในโคลัมเบีย ซึ่งเจ้าพ่อรายนี้มีมือปืนไร้เงาระดับพระกาฬคอยช่วยทำงานให้ และทำให้ทางการเข้าถึงตัวเจ้าพ่อได้ยากยิ่ง และนั่นก็เป็นหน้าที่ของแบรนดอนในการหาร่องรอยและกำจัดมือปืนรายนี้ออกไปให้ได้

ความสนุกของภาคนี้ก็ถือว่าพอได้ครับ แน่นอนว่ามันไม่ได้สนุกมากมายอะไร แต่ก็ถือว่าดูได้เรื่อยๆ และไม่เลวสำหรับหนังว่าด้วยสไนเปอร์ที่ไม่เน้นบู๊ประชิดตัว แต่จะเน้นบู๊ระยะไกล (มากๆๆๆๆๆ) และเน้นการสะกดรอย-หาร่องรอยของมือปืนฝ่ายตรงข้าม

แต่การเขียนถึงหนังเรื่องนี้หลังจากเขียนถึง Wolf Warrior II แล้วมันก็สะกิดให้เรานึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ และโดยส่วนตัวผมมองว่ามันเป็นประเด็นที่น่าสนใจนะ เกี่ยวกับหนังแอ็กชันทั้งหลาย (ทั้งเกรดสูงและทำลงแผ่น)

ผมมองว่าหนังบู๊ลงแผ่นส่วนมากจะมีสิ่งหนึ่งคล้ายกันคือ แม้จะเป็นหนังแอ็กชัน แต่ก็ไม่ได้เน้นแอ็กชันเป็นหลัก ทว่าจะมีความพยายามในการใส่เนื้อเรื่อง ใส่ฉากตัวละครคุยกันลงมาให้มากๆ ส่วนมากถ้าไม่คุยกับเรื่องงานก็จะคุยกันเรื่องส่วนตัว

แล้วผมก็มีคำถามขึนมาว่าจริงๆ แล้วฉากพวกนี้ถูกใส่ลงมาทำไม? มันถูกใส่เพื่อให้หนังดูเหมือนมีเนื้ัอเรื่อง, ทำให้เราได้เห็นมิติตัวละคร หรือใส่เพื่อยืดเวลาออกไปให้นานขึ้น ทำให้หนังมันมีความยาวรวมๆ กันแล้วได้ 90 นาทีขึ้นไป?

ต้องยอมรับว่าฉากตัวละครคุยกันมันเซ็ทง่ายกว่ากันเยอะ ในขณะที่ฉากบู๊มันต้องเซ็ทฉากใหญ่กว่า ต้องวางช็อตวางสตอรี่บอร์ดให้ดีๆ แล้วก็ต้องออกแรงออกหมัด หรือไม่ก็สาดกระสุนกัน มันต้องทำ Effect อะไรเยอะกว่า ในขณะที่ฉากคุยกัน เตรียมน้อยกว่า และถ้าคิดเล่นๆ สมมติให้ตัวละครคุยกันครั้งละแค่ 3 นาที แล้วถ่ายแบบนี้สัก 20 ฉาก เราก็ได้ฉากใส่ลงไปในหนังแล้ว 1 ชั่วโมง…

จริงๆ นี่เป็นสิ่งที่ผมรู้สึกมาตลอดน่ะครับ รู้สึกเลยว่าหนังแอ็กชันฟอร์มไม่สูงหลายเรื่องใช้มุกนี้เป็นหลัก คือมันจะต่างจากหนังบู๊มันส์ๆ ที่ฉากคุยกันจะมีไว้เพื่อบิ้วอารมณ์, เพื่อเล่าเรื่อง หรือเพื่อเพิ่มความเข้มข้น ในขณะที่ส่วนใหญ่ฉากคุยกันพวกนี้จะออกแนว “งั้นๆ” ไม่ได้เพิ่มอะไรให้หนัง (นอกจากเพิ่มเวลาให้ยาวขึ้น)

กับเรื่องนี้ ก็มีบางฉากที่ทำให้ผมคิดแบบนั้นครับ แต่ก็ยังดีที่มีไม่เยอะเกินไป อย่างน้อยตอนแบรนดอนเข้าซีนกับริชาร์ดแล้วคุยกัน ก็ทำออกมาได้น่าสนใจ และผมชอบมากที่ตอนท้ายพวกพี่แกร่วมงานกัน ผมว่ามันเป็นอะไรที่มีความหมายครับ ในฐานะคนที่ติดตามหนังชุดนี้มาจนถึงตอนนี้ (นี่ก็ภาค 7 แล้วครับ)

โดยรวมหนังก็ดูได้เรื่อยๆ ครับ มีดีเป็นฉากๆ ไป อย่างฉากซุ่มยิงนี่ผมว่าโอเคเลยนะ ทำได้น่าพอใจ ตอนท้ายก็ทำได้ลุ้นดี เพียงแต่เรื่องราวระหว่างทางมันอาจจะพร่องความน่าติดตามไปสักหน่อย และใจจริงหาก 3 สไนเปอร์ร่วมงานกันในฉากเดียวกัน มันคงเท่ห์น่าดู

แต่อย่างน้อย 3 คนมาเจอกันก็โอเคแล้วครับ ถือเป็นโมเมนท์ที่มีความหมาย เอาเป็นว่าใครตามดูมา 6 ภาค ก็จัดภาค 7 ได้ครับ อย่างน้อยมันก็ยังสนุกในระดับพอๆ กัน (กับภาคหลังๆ น่ะนะครับ แต่ถ้าถามว่าชอบภาคไหนสุด ก็ขอยกให้ภาคแรกครับ)

ใกล้ๆ สองดาวครับ

Star12

(5.5/10)