Resident Evil: Welcome to Raccoon City (2021) ผีชีวะ ปฐมบทแห่งเมืองผีดิบ

Untitled07712

เป็นอีกครั้งที่ความไม่คาดหวังหอบผมให้ผ่านหนัง Resident Evil: Welcome to Raccoon City มาได้โดยสวัสดิภาพครับ

ว่ากันตรงๆ เลยคือดูไปแบบเรื่อยๆ เดาอะไรต่อมิอะไรได้หมด อาจไม่ได้รู้สึกสนุกสนานหรือชอบอะไร แต่ก็ยังดีครับที่ไม่ถึงกับเบื่อ ซึ่งเหตุผลที่ผมไม่รู้สึกเบื่อนี่ก็น่าจะเพราะหนังมีจุดเข้าทางผมอยู่หน่อยนึง

นั่นคือหนังทำออกมาในสไตล์ของ John Carpenter ครับ พอเห็นฟอนท์ตัวอักษรนี่จำได้ขึ้นมาเลยว่ามีกลิ่นอายลุง John มาแบบเต็มๆ การเดินเรื่องก็ชวนให้นึกถึงผลงานเก่าๆ ของลุง John ไม่ว่าจะ The Thing, The Fog หรือ Prince of Darkness

พอไปขุดข้อมูลดูก็ได้รู้ว่า Johannes Roberts ผู้กำกับหนังเรื่องนี้เป็นแฟนพันธุ์แท้ของผลงานลุง John ดังนั้นกลิ่นอายทั้งหลายแบบหนังลุง John นั้นจึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญครับ เป็นความตั้งใจในการคารวะลุง John ของ Roberts เขานั่นเอง ซึ่งสำหรับผมแล้วอะไรเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้มีส่วนสำคัญให้ผมดูหนังเรื่องนี้ได้แบบเรื่อยๆ เหมือนกัน

หรือถ้าพูดให้ชัดกว่านี้ก็คงเป็นว่า หากถอดกลิ่นอายหนังแบบลุง John ออกไป ผมอาจจะรู้สึกชืดเฉยกับหนังเรื่องนี้หนักกว่าเดิมก็เป็นได้

ถ้าพูดถึงตัวหนังแล้ว ถือว่าออกมาแบบเรื่อยๆ ครับ ไม่ได้ตื่นเต้นเร้าใจหรือชวนลุ้นอะไรสักเท่าไร หลายอย่างเดาทางได้ โดยเฉพาะตัวละครในเรื่องที่หากใครรู้เรื่องเกมสักหน่อยก็คงพอเดาได้ว่าใครจะรอดและใครจะไม่รอด มันเลยไม่ค่อยจะลุ้นในจุดนี้สักเท่าไร

Untitled07713

และพูดก็พูดเถอะครับ บางตัวละครนี่ก็จงใจให้รอดมากไปนิด อย่างคริส เรดฟิลด์ (Robbie Amell) เป็นต้น คือพี่เขานี่อยู่ท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่น่าจะรอดตั้งหลายรอบ อย่างฉากจุดไฟแช็กซ้ำๆ นั่นเป็นต้น คือถ้าเป็นคนอื่นนี่ไม่น่าจะรอดแน่ๆ แล้ว แต่นี่พี่แกรอดมาได้ตลอด

และการที่รอดมาได้นี่ถ้าหนังแสดงให้เห็นถึงความเก๋าความเก่งของพี่เขาสักหน่อยก็ยังพอทำเนา ประเภทว่าฝีมือสุดยอด โชว์ลีลาปราบซอมบี้แบบเก่งสุดๆ เลยพ้นคมเขี้ยวซอมบี้มาได้อะไรแบบนั้น แต่ที่เห็นนี่คือพี่แกรอดมาได้แบบงงๆ โดนซอมบี้รุมไม่รู้กี่หน แต่ไม่โดนซอมบี้กัดหรือข่วนอะไรเลย ยิ่งไปกว่านั้นคือพี่แกไม่ได้โชว์เก่งโชว์เทพอะไรเลยด้วย เหมือนรอดมาได้เพราะ “ข้าคือคริส เรดฟิลด์ – ตามบทต้องไม่ตาย” อะไรแบบนั้นน่ะครับ

ความมันส์ ความตื่นเต้นในการเอาตัวรอดนั้นน้อยครับ แทบไม่มีเลย เหมือนลุยไปเรื่อยๆ คนที่รอดก็รอดตามบท คนที่ตายก็ตายตามบท ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นลุ้นระทึกหรือเสียวไส้อะไรเลย

อย่างที่บอกนั่นแหละครับ ผมพอจะเพลินกับหนังได้ก็เพราะกิมมิคต่างๆ ที่ชวนให้นึกถึงหนังของลุง John Carpenter แต่หากถอดสิ่งนี้ออกไปแล้ว หนังจะกลายเป็นหนังเกรดบีชืดๆ เรื่องหนึ่งไปเลยครับ

นักแสดงก็กลางๆ ครับ ไม่ได้เด่นแต่ก็ไม่ได้แย่อะไร จริงๆ พวกเขาไม่ได้แสดงไม่ดีนะครับ แต่ละคนก็เล่นไปตามบท เพียงแต่บทมันไม่ขับเน้นให้ตัวละครมีความเด่น เช่นเดียวกับเส้นเรื่องที่ไม่มีอะไรขมวดให้ลุ้น รสชาติมันเลยค่อนข้างชิดและธรรมดาเอามากๆ น่ะครับ

ข้อดีอย่างหนึ่งของหนังภาคนี้คือทำให้รู้สึกดีกับฉบับก่อนหน้า (ที่ Milla Jovovich นำแสดง) ดูดีขึ้นมาเลยครับ มันส์ เร้าใจ ลุ้นกว่า อย่างน้อยเวลาที่ใครจะโดนซอมบี้เขมือบก็ยังทำให้เกิดอารมณ์สะเทือนใจขึ้นมาได้บ้าง แต่กับเรื่องนี้กราฟทางอารมณ์มันนิ่งจริงๆ ครับ

แต่ก็ยังดีครับที่ไม่ผิดหวังอะไร เพราะสารพัดคำบ่นที่มีต่อหนังทำให้ลดความคาดหวังลงไปได้เยอะ พอได้ดูจริงๆ แล้วก็ไม่ได้รู้สึกแย่อะไร เพียงแต่ก็ไม่ได้รู้สึกเพลินอะไรมากมายเช่นกัน เหมือนผ่านมาแล้วก็ผ่านไปน่ะครับ

ไม่ถึงสองดาวครับ

Star12

(5.5/10)