Mr. Jones

คนดีไม่มีที่อยู่…แล้วก็ดูเหมือน “คนพูดความจริง” มักไม่มีจุดยืนเช่นเดียวกัน หนังที่โฟกัสจุดเล็กๆ ของระบอบอำนาจการปกครองที่แสนจะอัปยศครั้งหนึ่งของโลก ความตึงเครียดในช่วงระหว่างการก่อตัวของความขัดแย้งที่เป็นชนวนเหตุของสงครามโลกครั้งที่ 2 มีเหตุการณ์หนึ่งที่นักข่าวคนเล็กๆ คนหนึ่งได้ประสบพบเจอเข้า จากคนคนเดียวนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงที่ช่วยชีวิตคนอีกนับล้านได้อย่างไร

“Mr. Jones” หรือหนังที่มีชื่อไทยว่า ถอดรหัสวิกฤตพลิกโลก เล่าเรื่องราวที่อิงจากเหตุการณ์จริงในปี 1933 ของ “กาเร็ธ โจนส์” นักข่าวชาวเวลช์ผู้ทะเยอทะยาน เขาคือนักข่าวต่างชาติคนแรกที่ได้มีโอกาสได้สัมภาษณ์ ฮิตเลอร์ ทำให้เขามองว่าแหล่งข่าวชิ้นใหม่ที่ยิ่งใหญ่ทำต่อไป และก็ได้เข้าไปสู่วังวนของลัทธิยูโทเปียในสหภาพโซเวียต และเขาก็แอบสงสัยประเด็นงบประมาณพัฒนาประเทศของสตาลินว่ามีเบื้องลึกเบื้องหลังอย่างไร

เขาจึงตัดสินใจละทิ้งหน้าที่ราชการ ตีตั๋วไปกรุงมอสโก เพื่อหาโอกาสสัมภาษณ์ผู้นำสตาลิน การเดินทางมารัสเซียในครั้งนี้ทำให้เขาได้พบกับเบื้องหลังที่ว่ามีการปกปิดข้อมูลหลายๆ อย่าง โดยเฉพาะปัญหาความอดยากของประชาชนนับล้าน เพราะรัฐบาลนำเอาพืชผลส่งออกขายต่างประเทศ เพื่อหมุนเงินมาพัฒนาอุตสาหกรรมของจักรวรรดิ แต่กลับทอดทิ้งผู้คนเอาไว้ในอดตายอย่างน่าอนาถใจ นั่นคือสิ่งที่เขาได้เห็นมากับตา และการเลือกพูดความจริงออกมาในสถานการณ์เช่นนี้ แน่นอนว่าย่อมทำให้เขาตกอยู่ในอันตราย

ต้องยอมรับเลยว่า หนังมาพร้อมกับประเด็นที่หนักอึ้งพอสมควรเลยทีเดียว เพราะถ้าเข้าโรงหนังมาไม่ทันดูช่วงแรกๆ ก็อาจจะจับประเด็นไม่ได้เลยก็ได้ ช่วงครึ่งแรกของหนังเต็มไปด้วยบทสนทนาเชิงการเมืองและการเสาะหาแหล่งข่าวสไตล์นักข่าวยุคก่อน เป็นช่วงที่ทำหน้าที่ปูเรื่องราวต่างๆ เอาไว้ที่อาจจะทำให้รู้สึกน่าเบื่อในบางมุมเสียด้วยซ้ำ เพราะด้วยการดำเนินเรื่องที่ไม่ได้มีความโดดเด่นและราบเรียบไปนิด ทำให้หนังขาดความน่าติดตามและอาจจะทำให้คนดูหมดใจเลิกดูก็ได้

แต่พอเข้าสู่ช่วงครึ่งหลังของหนังถือว่าไต่ระดับความน่าสนใจขึ้นมาได้เด่นชัด หนังมาพร้อมกับการนำเสนอที่เหมือนกับหนังคนละเรื่อง ได้เห็นภาพและมุมมองในหนังการเมืองกลิ่นอายสงครามที่คนดูอยากจะได้เห็น คนดูจึงได้คล้อยตามและด่ำดิ่งไปกับการผจญภัยของมิสเตอร์โจนส์ในการออกไปสู่โลกกว้างอย่างโซเวียตในมุมมองที่คนทั่วไปไม่เคยได้สัมผัสอย่างแน่นอน

เคยได้ยินมาว่าในฉบับที่เข้าโรงฉายทั่วไปนั้นมีความยาวเกือบๆ 2 ชั่วโมง แต่ยังมีอีกฉบับที่ตัดต่อเอาไว้ฉายเฉพาะตามเทศกาลหนัง ที่มีความยาวเพิ่มเติมอีกราวๆ 30 นาที แม้จะไม่เคยได้ดูฉบับสมบูรณ์แบบของหนังเรื่องนี้ แต่ก็เชื่อว่าน่าจะเน้นไปที่การขยายความเพิ่มเติมของหนังในอีกบางส่วน เพราะสัมผัสได้เช่นกันว่าในช่วงท้ายๆ ของหนังนั้น ค่อนข้างจะสรุปแบบรวบรัดตัดตอนไปสักหน่อย

หนังยังมีการดีไซน์ตัวละครออกมาได้น่าสนใจไม่น้อย “เจมส์ นอร์ตัน” นักแสดงหนุ่มชาวอังกฤษที่มารับบทนี้ ดูเข้าถึงกับบทบาทที่เขาได้รับเป็นอย่างดี ถึงแม้จะยังไม่ใช่การแสดงที่ดีที่สุด แต่เขาก็ทำให้เชื่อว่าเขาเป็นนักข่าวที่กระหายข้อมูลและต้องการล้วงลึกไปหาเบาะแสต่างๆ ด้วยสัญชาตญาณของสื่อ ขณะที่ “ปีเตอร์ ซาร์สการ์ด” ก็เล่นได้อย่างคมคาย กับคาแรกเตอร์ที่เป็นเหมือนมิตรแต่เนื้อในคือศัตรู เล่นส่งออกมาเบาๆ ก็ยังดูทรงพลังได้

นอกจากนี้ หนังยังได้เสริมตัวละครอย่าง จอร์จ ออร์เวลล์ เอามา ที่นำแสดงโดย “โจเซฟ มาวล์” ที่ถึงแม้ว่าจะดูว่าเป็นตัวละครที่อยู่ๆ ก็สอดแทรกเข้ามาร่วมกับประเด็นนี้อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่บุคคลผู้นี้ก็คือเจ้าของนวนิยายเสียดสีการเมืองเล่มดัง “Animal Farm” นั่นเอง เขาเข้ามาในหนังเรื่องนี้เพื่อทำหน้าที่เชื่อมโยงและเป็นผู้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับมิสเตอร์โจนส์

ฝีมือการกำกับของผู้กำกับหญิงชาวโปแลนด์ “แอ็กนีสซก้า ฮอลแลนด์” ก็มีสไตล์ที่เป็นลายเส้นในแบบอย่างเธอ สามารถนำเสนอภาพออกมาในมุมมองว่าโลกอยากจะเห็น และสร้างบรรยากาศความหวังและความหดหู่เข้ามาพร้อมกัน ถึงแม้ว่าเนื้อหากับประเด็นของหนังจะดูหนักหน่วงและเยอะไปหมด บางครั้งก็ดูเหมือนจะจับยัดใส่เข้ามาโดยไม่ได้รับการอธิบายให้แน่ชัดว่าหมายถึงสิ่งใด

แต่อย่างไรก็ตาม Mr. Jones ก็ถือเป็นหนังที่กระแสปัญหาสังคมที่เกิดขึ้นมาแล้วเกือบจะร้อย ปัญหาการบริหารและเรืองอำนาจของผู้นำหลายประเทศที่ยังคงปกปิดข้อมูลความจริงกับภาคประชาชน ตัวละครนี้เป็นสื่อมวลชนทำหน้าที่นำเสนอข้อเท็จจริง แต่บางครั้งความจริงก็ละเอียดเกิดกว่าที่จะนำเสนอออกไป ทำให้เรามักจะได้เห็นภาพของคนพูดความจริงที่กลายเป็นคนไม่มีที่ยืนในสังคม ทั้งที่สิ่งที่เขาสื่อสารออกมาจะสามารถช่วยคนหมู่มากได้ก็ตาม นี่คือด้านตลกร้ายของสังคมโลกที่มีมานานเป็นร้อยปีแล้ว

ข้อมูลเกี่ยวกับหนัง Mr. Jones มิสเตอร์โจนส์ ถอดรหัสวิกฤตพลิกโลก
ประเภท : ชีวประวัติ / ดราม่า / ระทึกขวัญ
ผู้กำกับ : แอ็กนีสซก้า ฮอลแลน
นำแสดงโดย : โจเซฟ มาวล์, ปีเตอร์ ซาร์สการ์ด, วาเนสซา เคอร์บี, โจเซฟ มาวล์
ความยาว : 119 นาที
เข้าฉาย : 2 กรกฎาคม 2020 (ไทย) / 25 ตุลาคม 2019 (โปแลนด์)

—————————————————-