Critters Attack! (2019)

Untitiled04715

ตอนได้ข่าวว่าจะมีการทำภาคใหม่ของ Critters หรือ กลิ้ง งับ งับ นี่ผมดีใจนะครับ เพราะเป็นแฟนหนังชุดนี้มาตั้งแต่เด็ก น่าจะถิือเป็นหนังแนวสยองเรื่องแรกๆ ที่ผมดูเลยล่ะครับ เพราะตอนยังเด็กนั้นผมก็ยังกลัวที่จะดูหนังสยอง แต่ด้วยความที่หนังชุดนี้มันสยองไม่มากก็เลยกล้าลองหยิบมาดู จำได้เลยว่าดูภาค 3 เป็นตอนแรก แล้วก็มาตามดูภาคอื่นๆ จนครบ

สมัยเด็กนี่ชอบมากครับ ครั้นพอโตขึ้นความชอบก็ค่อยๆ ลดปริมาณลงตามวัย จนตอนนี้ก็อาจจะไม่ได้ชอบมากเท่าสมัยก่อน แต่ถ้าถามว่าอยากเอามาดูอีกไหม ก็ตอบได้เลยว่าถ้ามีโอกาสก็อยากเอามาดูอีก มันสนุกดี และยังเป็นการระลึกถึงวันเก่าๆ ที่เข้าท่าอีกด้วย

แต่กระนั้นก่อนจะเอาภาคนี้มาดูผมก็เผื่อใจน่ะนะครับ เพราะหนังสยองยุคใหม่ๆ นี่ความอร่อยมันไม่เหมือนยุค 80 – 90 ยิ่งพวกหนังรีเมคนี่ก็เจอไปหลายเรื่องเลยครับที่ความอร่อยมันสู้ของเก่าไม่ได้

และกับเรื่องนี้ ในที่สุดก็เป็นไปตามคาดครับ ความอร่อยมันน้อยมากจนน่าใจหาย สู้ของเก่าไม่ได้ ขนาดภาค 4 ที่ถือว่าเป็นภาคที่ไม่เวิร์กที่สุดแล้วของหนังชุดนี้ก็ยังดูเพลินกว่าอีกน่ะครับ

ภาคนี้ตัวเอกคือ เดรีย (Tashiana Washington) สาวน้อยที่ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงเด็ก แล้วก็ต้องเผชิญกับวันสยองเมื่อเจ้าพวกตัวกลิ้งจากอวกาศมันบุกมาที่โลก ไล่เขมือบคนไปมากมาย เดรียก็เลยต้องพาเด็กๆ หนีเอาตัวรอดไปให้ได้ตามสูตรของหนังแนวนี้น่ะครับ

การดูหนังเรื่องนี้มันทำให้ตระหนักขึ้นมาในประเด็นหนึ่งครับ นั่นก็คือมุมมองการทำหนังหรือการถ่ายทอดภาษาหนังของคนสมัยนี้กับคนสมัยก่อนมันมีความแตกต่างกัน อย่างหนังเกรดบีสมัยก่อนนี่ผมว่าแม้ทุนจะไม่เยอะ แต่มันก็ยังดูได้เรื่อยๆ มันยังมีพล็อตมีทิศทาง จังหวะต่างๆ มันยังดูเอาบันเทิงได้ แม้จะไม่ใช่เกรดเอ แต่ก็ถือว่าโอเคพอกล้อมแกล้ม

อย่าง Critters ฉบับเดิมนี่ เอาเข้าจริงมันไม่ใช่หนังทุนสูงหรือโปรดักชั่นแพงอะไรหรอกครับ จริงๆ มันคือหนังสยองทุนต่ำ แค่ $2 ล้านเหรียญเท่านั้น แต่มันก็ยังออกมาสนุกก็ด้วยการเล่าเรื่องที่แม้จะลงสูตรสำเร็จของหนังสัตว์โลกน่ารัก แต่มันก็เป็นสูตรที่เล่าแล้วได้ผล ดูแล้วยังมีความเพลินและความลุ้น จังหวะการเล่า การเล่นมุกหลอกให้ตกใจ หรือฉากตัวกลิ้งไล่งับแบบลุ้นๆ อะไรเหล่านี้มันได้ผล ดูแล้วมันยังมีความสนุกแม้หนังจะเก่ากว่า 30 ปีแล้วก็ตาม

แต่กับเรื่องนี้… โอเคครับ การเล่าเรื่องมันก็อาจจะเดินตามสูตรหนังสัตว์โลกน่ารัก แต่มันดูโล่งโถง ความสนุกความลุ้นอะไรต่างๆ มันไม่มีเลยทั้งๆ ที่มีฉากเลือดสาดอยู่ไม่ใช่น้อย (นี่เป็น Critters ภาคแรกที่ได้เรต R ครับ ในขณะที่ก่อนหน้านั้นได้เรต PG-13) คือเหมือนเล่าเรื่องไปเรื่อยๆ ดาราก็แสดงกันแบบแสดง เรื่องราวก็เดินไปแบบไปเรื่อยๆ ไม่ได้มีจุดลุ้นหรือปมมาทำให้น่าติดตาม ทั้งๆ ที่จริงๆ บางปมนี่ถ้าเล่นดีๆ ก็น่าจะเพิ่มความน่าสนใจให้หนังได้ อย่างปมเจ้าตัวกลิ้งสีขาวหรือปมของ “ป้าดี” ตัวละครปริศนาที่ทำท่าว่าจะรู้จักเจ้าพวกตัวกลิ้งดีกว่าใครๆ แต่ทั้งหมดนี่ก็นำเสนอแบบเรื่อยๆ น่ะครับ ไม่ได้มีรสชาติดึงดูดให้เรารู้สึกอยากติดตามเลย

Untitiled04716

หรืออย่างการที่เจ้าตัวกลิ้งมันไล่งับทุกคนได้อย่างโหดเหี้ยมชนิดที่ไม่มีใครทำอะไรมันได้เลย แต่พอพวกมันเผชิญหน้าเด็กๆ เหมือนฤทธิ์และความโหดมันจะลดปริมาณลงซะงั้นน่ะครับ ประมาณว่าคนทั้งเมืองโดนเล่นงานกันเกือบหมด แต่เด็กๆ กลุ่มนี้สามารถสู้กับพวกมันได้ด้วยอุปกรณ์ทั่วๆ ไปอย่างไม้หรือการเตะอะไรแบบเนี้ย คือจริงๆ ก็เข้าใจน่ะครับว่าพวกเด็กๆ คือตัวเอก และหนังก็คงไม่ปล่อยให้เด็กมาตายอยู่แล้ว แต่มันน่าจะมีมุกอะไรที่เวิร์กกว่านี้ ไม่ใช่จู่ๆ ก็ทำให้พิษสงพวกตัวกลิ้งมันดร็อปลงมาแบบดื้อๆ คือมันดูจงใจไปนิด และทำให้หนังดูอ่อนลงไปเลย (ทั้งๆ ที่มันก็อ่อนอยู่แล้วน่ะนะครับ 555)

แล้วที่หนักไปกันใหญ่ (สำหรับผม) คือมันจะมีฉากที่ตัวกลิ้งรวมกันเป็นก้อน (อันเป็นไฮไลท์สำคัญของภาค 2 จำได้เลยว่าเป็นฉากที่ลุ้นมาก) ซึ่งจริงๆ มันควรจะปราบยาก แต่ที่ไหนได้บทจะง่ายก็ง่ายซะจนรู้สึกอึ้งเลยน่ะครับ

นอกจากนี้ตัวหนังยังพยายามสอดแทรกมุกตลกลงไป ซึ่งส่วนใหญ่คือแป๊กครับ และยังมีบางช่วงที่พยายามแทรกฉากสะเทือนใจลงไป เช่น ตอนที่บางตัวละครที่ตัวเอกรู้จักกำลังจะตาย แต่มันก็ดูไม่อินน่ะครับ พูดตรงๆ เลยก็คือ ไม่ว่าจะฉากชวนให้ขำหรือชวนให้สะเทือนใจต่างก็ไม่เวิร์กด้วยกันทั้งสิ้น และไปๆ มาๆ มันเลยทำให้หนังมีรสแปร่งๆ ไป เพราะมันจะสยองก็ไม่สุด จะฮาก็ไม่ฮา จะสะเทือนใจก็ไม่ถึง ตลอดทั้งเรื่องมันเลยขาดๆ เกินๆ อยู่ตลอดน่ะครับ

มันทำให้อดคิดถึงหนังยุคก่อนไม่ได้น่ะครับ ผมว่ามันยังดูเพลินและบันเทิงกว่า คือดูแล้วยังพอสัมผัสถึงความตั้งใจในการทำอยู่บ้าง แต่กับหนังเกรดบีสมัยใหม่หลายๆ เรื่อง (รวมถึงเรื่องนี้) มันดูเหมือนเล่นๆ ไม่จริงจังจนจับอะไรไม่ติดเลยน่ะครับ

ก็สรุปน่ะนะครับว่า การดูหนังเรื่องนี้ทำให้ผมอยากเอาหนัง 4 ภาคแรกมาเปิดดูใหม่อีกครั้ง เพราะมันสนุกกว่าน่ะครับ ดูแล้วเพลินกว่า ดูแล้วสนุกกับหนังมากกว่า ในขณะที่ภาคนี้ก็ไม่มีอะไรให้จดจำจริงๆ

ดาวเดียวครับ

Star11

(4/10)

ผมกำลังจะสปอยล์นะครับ ถ้าไม่อยากทราบแนะนำว่าอย่าอ่านตรงตัวหนังสือสีน้ำเงินนะครับ

ถ้าจะมีอะไรที่ทำให้ผมรู้สึกสนใจก็คงจะเป็นตัวละครที่ชื่อ “ป้าดี” นั้นแหละครับ รับบทโดย Dee Wallace ซึ่งแฟนหนังชุดนี้คงจำได้ว่าเธอคนนี้เคยรับบทเฮเลน บราวน์ในหนังภาคแรกเอาไว้ ซึ่งมาในเรื่องนี้เธอเรียกตัวเองว่า “ป้าดี” ตอนแรกก็นึกว่าเป็นคนละตัวละครกัน แต่พอไปค้นบทสัมภาษณ์ ปรากฏว่าจริงๆ แล้วตัวละครนี้คือ เฮเลน บราวน์ จากภาคแรกนั่นแหละครับ แต่ที่ไม่สามารถใช้ชื่อเฮเลนได้ก็เพราะติดปัญหาทางกฎหมายบางประการ เลยทำให้ต้องเปลี่ยนเป็น “ป้าดี” แทน แต่โดยเจตนาแล้ว ป้าดี ก็คือ เฮเลนนั่นแหละครับ

จริงๆ ตัวละครนี้น่าสนใจครับ แต่หนังก็ให้พื้นที่เธอน้อยมากจนน่าเสียดาย แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเก็บเอาไว้เล่าเพิ่มในภาคต่อหรือเปล่า (ถ้าเขาทำต่อน่ะนะครับ)