จบครบไตรภาคจนได้ครับสำหรับหนังชุดนี้ ซึ่งภาคแรกผมว่ายังโอเคนะ ทำออกมาสนุกในระดับกลางๆ แต่พอมาภาค 2 นี่ออกแนวเลอะซะเยอะ เนื้อเรื่องจริงๆ มันเหมือนจะมีอะไรอยู่ไม่น้อย แต่ดันเล่าให้มันไม่มีประเด็นไปซะงั้น และเน้นมุกขำที่บางทีก็ไม่ค่อยขำซะครึ่งค่อนเรื่อง
พอมาถึงภาค 3 นี้ก็ไม่ได้ดีกว่าภาค 2 ครับ ตัวพล็อตจริงๆ มันสามารถเล่าให้มีเรื่องมีประเด็นได้ แต่หนังไปเน้นตรงการเล่นมุกที่ขำบ้างแป้กบ้าง และช่วงหลังนี่ออกทะเลไปไกลเลย ขนาดที่มีช่วงหนึ่งหนังกลายเป็น Transformers ครับ… นี่ผมพูดจริงๆ นะ
ภาคนี้อาเคน (โจวเหวินฟะ) เซียนพนันจอมกะล่อน กำลังจัดงานแต่งให้ลูกสาวอยู่ดีๆ ก็มีคนส่งระเบิดมาป่วน และเขากับมาร์ก (จางเจียฮุย) ยังโดนใส่ความจนโดนทางการจับไปจำคุกอีกต่างหาก
ยังดีครับที่ไมเคิล (หรือจริงๆ ก็คือ “อาเต๋า” โคตรเซียนน้อยแห่งคนตัดคน รับบทโดย หลิวเต๋อหัว) มาช่วยแหกคุกพาเคนและมาร์กออกไปซ่อนตัวที่บ้านพักในสิงคโปร์ และที่นั่นพวกเขาก็ได้พบกับชายลึกลับนามว่า เจ.ซี. (จางเซียะโหย่ว) ซึ่งชายผู้นี้กำคำตอบไว้ว่าเพราะอะไรเคนถึงต้องเผชิญวิบากกรรมมากมายในครั้งนี้
อย่างที่บอกครับว่าจากพล็อตน่ะจะทำให้มีเนื้อเรื่องก็ได้ อย่างการที่อาเคนโดนใส่ความหรือการที่ลูกสาวของเขาต้องบาดเจ็บจากเหตุระเบิด จริงๆ เอามาเป็นปมตั้งต้นให้เขาออกโรงสืบหาตัวการก็ได้ แต่หนังไม่ทำเช่นนั้นครับ หนังเลือกจะมาแนวขำเป็นหลักแทน
หรือตัวละคร “เจ.ซี.” นั้นจริงๆ แล้วหนังจะเก็บปมของเขาไว้เฉลยตอนหลังก็ได้ครับ ให้มันมีอะไรดึงดูดให้ติดตามสักหน่อย แต่นี่หนังเฉลยแต่แรกว่าเขาต้องการอะไร เฉลยแต่แรกว่าเขาทำอะไร จนออกจะน่าเสียดายอยู่เหมือนกัน เพราะผมว่าจางเซียะโหยวแกเล่นบทนี้ได้ดีนะ ชนิดที่พูดได้ว่าการแสดงของเขามีความน่าสนใจกว่าใครในเรื่องเลย เพราะเขาไม่ได้หลุดหรือต๊องไปกับเรื่องราว แต่เขาคงความเข้มบางอย่างเอาไว้ และมีความจริงจังพอประมาณ
แต่ก็นั่นล่ะครับ พี่จางเซียะโหยวแกจริงจังเสียเปล่าอยู่หน่อยๆ เพราะบทไม่ได้เอาความลึกลับหรือความเข้มของตัวละครนี้มาใช้งานให้เกิดผลสักเท่าไร ไปๆ มาๆ ก็กลายเป็นตัวร้ายตามสูตรถูกกำหนดให้เล่นงานพระเอกและถูกพระเอกเล่นงานในตอนท้ายน่ะครับ
อีกจุดที่จริงๆ ผมน่าจะดีใจ แต่กลายเป็น “ไมค่อยดีใจเท่าไร” แทน ก็คือหนังเรื่องนี้เอาตัวละครคลาสสิกของหนังชุดคนตัดคนมาร่วมจอ ไม่ว่าจะอาเต๋า, เกาจิ้ง หรือพี่หลงอู่ มือปืนสุดเท่ห์ ซึ่งการปรากฏตัวของพวกเขาเหล่านี้ก็สร้างรอยยิ้มให้เราได้บ้างครับ แต่พอมานั่งนึกๆ ดูแล้วก็รู้สึกแหม่งๆ อยู่ที่ตัวละครเท่ห์ๆ ในความทรงจำดันมาโผล่ใน Universe ของหนังฮากึ่งเลอะแบบนี้
แต่หนังก็พยายามเอาดาราหน้าคุ้นมารับเชิญกันแบบแน่นจอน่ะครับ และรู้สึกเหมือนว่าหนังจะพยายามเดินตามรอยหนังฮาสไตล์เฮียโจวซิงฉือยุคหลังๆ (แบบ The Mermaid) ด้วยการเอาของเก่าในความทรงจำของชาวจีน-ฮ่องกงมาเล่นมุก โดยเฉพาะการเอาเพลงในตำนานหรือฉากในหนังเก่าๆ มาใช้น่ะครับ
อย่างตอนเคนกับมาร์กติดคุก เราก็จะได้ยินเพลง 友谊之光 (Yau Yi Ci Kuong) ที่เจ๊ Maria Cordero โดดลงมาร้องเอง ซึ่งเพลงนี้เป็นเพลงเด่นของ Prison on Fire หรือ เดือด 2 เดือด ที่โจวเหวินฟะเล่นเป็นคนคุกครับ ฉากนี้จึงเป็นการล้อเรื่องที่ว่านั่นเอง (ซึ่งเพลงนี้เอาทำนองมาจากเพลงไต้หวันชื่อ 绿岛小夜曲 อีกที และเพลง “สิ่งสุดท้าย” ของ ฮอตเปปเปอร์ก็เอาทำนองมาจากเพลงไต้หวันที่ว่านั่นแหละครับ)
อีกฉากคือตอนที่อาเต๋านั่งเล่นไพ่นกกระจอก ฉากนี้เพลงที่ตัวละครร้องกันก็คือเพลง 打雀英雄傳 (Ta Chuk Yeng Hung Cuin) หรือ Tale of the Mahjong Hero เพลงดังในตำนาน ตัวเพลงนั้นเชื่อว่าคอหนังรุ่นเก่าบ้านเราหลายคนอาจคุ้นทำนองมาจากเพลงเปิด “มังกรหยก หยกก๊าหว่า” ซึ่งตำนานเพลงนี้มียาวนานมาตั้งแต่ยุค 70 ครับ และฉากที่ว่านี่ก็ล้อเพลงนี้แบบเต็มๆ
ก็คาดว่าชาวจีนเองก็คงขำกับมุกทำนองนี้เหมือนกันครับ (และจริงๆ แล้วเพลงนี้ก็ทำออกมาล้อเพลงธีมหลักของมังกรหยกปี 1976 เวอร์ชั่นไป่เปียวและหมีเซียะครับ คือเอาทำนองมาแล้วแต่งเนื้อใหม่ จาก Condor Heroes กลายเป็น Mahjong Hero แทน 5555)
โดยรวมแล้วหนังก็ไม่ได้ถึงขนาดว่าต้องดูแต่อย่างใดครับ ยกเว้นชอบหนังชุดนี้แล้วอยากตามดูต่อให้ครบก็ไม่ว่ากัน แต่หากใครอยากตามมาดูเพราะอยากเห็นเกาจิ้ง, อาเต๋า หรือพี่หลงอู่ล่ะก็ ต้องขอบอกให้เผื่อใจไว้ก่อนครับ เพราะบทบาทของพวกเขาในเรื่องมันไม่ค่อยจะมีอะไรเป็นชิ้นอันสักเท่าไร
แต่หนังก็โกยไป US$166 ล้านเหรียญครับ ทำเงินสวยงาม แม้มันจะไม่มีอะไรเป็นชิ้นอัน แต่มันขายดารา ขายขำ และเล่นมุกที่ชาวจีนชอบกัน เลยไม่แปลกหากจะทำเงินเป็นเรื่องเป็นราวได้ขนาดนั้น (ก็เหมือนหนังฮาบ้านเราที่ทำเงินเยอะๆ นั่นแหละครับ ลองว่าถูกเส้นคนในประเทศนั้นๆ แล้ว โอกาสทำเงินก็ย่อมมากเสมอครับ)
ดาวเดียวครับ
(4/10)