Mortal Engines (2018) สมรภูมิล่าเมือง จักรกลมรณะ

Untitled03740

ดูหนังเรื่องนี้จบแล้วรู้สึกสงสารทีมงานเลยครับ คือจริงๆ หนังมันไม่ได้แย่นะ มันเป็นหนังแนวแอ็กชันผจญภัยผสมไซไฟที่พอดูได้ แม้จะไม่ได้เจ๋งเป็นพิเศษก็เถอะ แต่ก็ไม่ได้โล่งโถงหรือน่าเบื่อหนักๆ (แบบ The Last Airbender เป็นอาทิ) แต่รายได้นี่น่าสงสารมาก ทำเงินในอเมริกาแค่ $15.9 ล้าน นี่ไม่ใช่รายได้เปิดตัวนะครับ แต่เป็นรายได้ตลอดการฉายเลย ในขณะที่ถ้ารวมทั่วโลกก็จะอยู่ที่ $83.6 ล้าน ส่วนทุนสร้างน่ะอยู่ที่ $100 ล้าน ผลเลยเจ๊งหนักเจ๊งแรงมากๆ ครับ

แต่อย่างที่บอกว่าหนังมันไม่ได้แย่ มันดูได้เรื่อยๆ เพียงแต่มันอาจจะไม่ได้สนุกแบบสุดๆ และตัวพล็อตก็อาจจะเดาได้แบบไม่ยากเย็น ลงสูตรสำเร็จของหนังแนวนี้เท่านั้นเอง

จริงๆ ไอเดียจากนิยายนั้นน่าสนใจนะครับ เรื่องของโลกอนาคตที่เมืองกลายเป็นเครื่องจักรขนาดยักษ์และสามารถไล่ล่าครอบครองกันได้ ช่วงต้นนี่ถือว่าเปิดเรื่องได้โอเค เปิดมาให้เห็นความเป็นโลก “สมรภูมิล่าเมือง” ตามด้วยการแนะนำตัวละครหลักๆ อย่าง เฮสเธอร์ ชอว์ (Hera Hilmar) สาวหน้าบากที่มีความแค้นกับเธดเดียส วาเลนไทน์ (Hugo Weaving)

แต่แล้วความพยายามของเฮสเธอร์ในการลอบสังหารเธดเดียสกลับลงเอยด้วยความล้มเหลว เพราะมีชายชื่อว่าทอม (Robert Sheehan) มาขัดขวาง

จากนั้นไปๆ มาๆ เฮสเธอร์กับทอมก็ต้องออกมาผจญภัยด้วยกันครับ ที่เหลือก็ไปตามดูต่อได้ในหนังครับ (หากประสงค์จะดูน่ะนะครับ)

ตอนต้นเปิดเรื่องมาโอเคครับ ไม่ได้หวือหวาแต่ก็น่าติดตามในระดับหนึ่ง ตัวละครดูน่าสนใจ มีการเปิดปมให้รู้สึกว่าน่าสนใจ แต่ถ้าถามว่ามีอะไรสดใหม่ไหมก็ตอบได้เลยว่า “เปล่า” ครับ ส่วนใหญ่พล็อตจะเป็นอะไรที่คุ้นเคยมาจากหนังที่สร้างจากนิยายแนวแฟนตาซีในยุคหลังๆ ไม่ว่าจะ Harry Potter, Percy Jackson, Eragon, Divergent, The Golden Compass ดูแล้วเดาทางได้แบบไม่ยากเย็นน่ะครับ ว่างั้นเถอะ

Untitled03739

แต่ยังดีที่การเล่าเรื่องของหนังยังออกมาโอเคครับ แม้จะเดาได้และซ้ำทางแค่ไหนแต่ก็ยังโอเค นี่ผมหมายถึงครึ่งแรกนะครับ ส่วนครึ่งหลังนั้นเรื่องราวมันจะมีการขมวดปม มีการประจัญบานอันจะนำไปสู่ฉากไคลแม็กซ์ ซึ่งช่วงครึ่งหลังนี่ความสนุกจะค่อนข้างลดปริมาณลง จะมันส์ก็ไม่สุด จะตื่นเต้นก็ยังไม่เต็มที่

ส่วนหนึ่งอาจเพราะผู้กำกับ Christian Rivers ที่คุมหนังเรื่องนี้เพิ่งนั่งเก้าอี้กำกับเป็นหนแรกครับ แม้จะเป็นทีมงานอยู่เบื้องหลังหนังของ Peter Jackson มานานก็เถอะ แต่พอมากุมบังเหียนเรื่องนี้แบบจริงๆ จังๆ เป็นครั้งแรก ฝีมือ ลีลา และความคล่องก็อาจจะยังไม่อยู่ตัวนัก โดยส่วนตัวแล้วการที่ครึ่งแรกออกมาโอเค ผมว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะบทหนังที่ดัดแปลงโดย Fran Walsh, Philippa Boyens, Peter Jackson 3 คู่หูจากหนังชุด The Lord of the Ringsเพราะครึ่งแรกมันยังมีปมมีเนื้อเรื่องคอยพยุงให้หนังน่าติดตามอยู่ (กล่าวคือแม้มือผู้กำกับจะยังไม่นิ่ง แต่ตัวบทมันมีพลังในตัวเองอยู่ ก็เลยพอจะประคองกันไปได้)

แต่ทีนี้พอครึ่งหลังมันจะหนักไปทางการคลายปม ซึ่งการบิ้วอารมณ์นี่มีความสำคัญครับ ทีนี้หากคนกำกับยังบิ้วไม่แม่น แม้บทจะโอแค่ไหน แต่อารมณ์คนดูก็จะไม่อินตาม และนั่นก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับหนังในครึ่งหลังที่ปมต่างๆ ได้รับการคลายหรือไม่ก็ได้รับการดันไปถึงจุดไคลแม็กซ์ ซึ่งพออารมณ์ไม่ถึง ความอร่อยก็เลยพลอยไม่ถึงไปด้วย

และสิ่งสำคัญอีกอย่างในครึ่งหลังคือแอ็กชันครับ ฉากโรมรันประจัญบาน ฉากเผด็จศึกสู้กับเมืองใหญ่ อันนี้ถ้าคนทำบิ้วอารมณ์ตื่นเต้นไม่ได้ สร้างความหวือหวาหวาดเสียวหรือเร้าใจให้ฮึกเหิมไม่ได้ ความสนุกก็จะพลอยลดลงไปด้วย

ในแง่ของนักแสดงแล้ว Weaving ไว้ใจได้เสมอครับ ในขณะที่พระ-นางก็ถือว่าโอเค แม้จะไม่เด่นหรือเกิดแบบเต็มๆ แต่ก็ถือว่าสอบผ่าน แต่ก็แอบเสียดายที่ Leila George (รับบทแคทเธอรีน วาเลนไทน์) มีบทน้อยมาก ทั้งที่จริงๆ แล้วเธอถือว่าขึ้นกล้องมากที่สุดในบรรดากลุ่มดาราวัยรุ่นในเรื่อง

โดยรวมแล้ว หนังถือว่าดูได้เรื่อยๆ ยังไม่มีอะไรที่โดดเด่นเป็นพิเศษ อันนี้พูดถึงตัวหนังนะครับ ในขณะที่ความเป็นโลกอนาคตแบบที่เมืองมาไล่ล่ากันเนี่ย ถือเป็นไอเดียที่น่าสนใจ ในแง่ CG ถือว่าโอเคครับ แต่เสียดายที่วิสัยทัศน์ของผู้กำกับยังไม่ได้ระดับ ซึ่งไม่ได้แปลว่า Rivers ไม่เก่งนะครับ เพียงแต่ชั่วโมงบินยังไม่ถึงสำหรับหนังฟอร์มแบบนี้

แต่ยอมรับว่าสงสารทีมงานจริงๆ ครับ คือตัวหนังมันอาจจะธรรมดา แต่รายได้ก็ไม่น่าจะติดลบซะขนาดนี้

สองดาวครับ

Star21

(6/10)