The Sign of Four (1987) เชอร์ล็อค โฮล์มส์ ตอน จัตวาลักษณ์

Untitled07441

จัตวาลักษณ์ หรือ The Sign of Four คือนิยายเชอร์ล็อค โฮล์มส์เรื่องยาวตอนที่ 2 ของ Sir Arthur Conan Doyle ครับ และก็เป็นโฮล์มส์อีกตอนที่ถูกเอามาขึ้นจอเป็นอันดับ 2 รองจาก The Hound of The Baskervilles

ส่วนเจ้าของบทโฮล์มส์เวอร์ชั่นนี้คือ Jeremy Brett ครับ เป็นดาราที่สวมบทนักสืบแห่งยุควิคตอเรียนเยอะที่สุดอีกรายหนึ่ง แต่เราๆ ท่านๆ อาจไม่คุ้นหน้านัก เพราะหนังโฮล์มส์ของเขาเป็นหนังลงจอทีวีทั้งหมดครับ เริ่มจากหนังชุดซีรี่ส์ ส่วน The Sign of Four นี่เป็นโฮล์มส์เรื่องยาวเรื่องแรกของเขา (แต่ก็ยังเป็นหนังทีวีอยู่นะครับ)

เมื่อหญิงสาวที่ชื่อ แมรี่ มอร์สแตน (Jenny Seagrove) เดินทางมาพบโฮล์มส์ (Brett) เพื่อขอให้เขาช่วยไขปริศนาการหายตัวไปของพ่อเธอ กัปตันมอร์สแตน (Terence Skelton) โดยร่องรอยมีเพียงอย่างเดียวครับ นั่นคือ มีคนลึกลับส่งไข่มุกมาให้เธอปีละหนึ่งเม็ด…

โฮล์มส์กับหมอวัตสัน (Edward Hardwicke) เมื่อฟังเรื่องคร่าวๆ ก็เริ่มสืบหาความจริง อันนำไปสู่ปริศนาแห่งอดีตของกัปตันมอร์สแตนกับพรรคพวกที่เคยทำงานร่วมกัน… และมันอาจเกี่ยวกับมหาสมบัติที่หายสาปสูญไปก็เป็นได้

สไตล์โฮล์มส์ของ Brett ค่อนข้างเหมือนกับในนิยายครับ คล้ายกับที่ Peter Cushing แสดงใน The Hound of the Baskervilles ด้วย นั่นคือ มีอีโก้สูง เชื่อมั่นในตัวเองจัด แล้วก็ไม่ค่อยจะเน้นสานสัมพันธ์กับใคร จะเน้นไปที่ข้อมูลและการสืบสวนมากกว่า แล้วก็มีโลกส่วนตัวสูงด้วย ซึ่งก็ถือว่าไม่เลวเลยครับสำหรับการทำให้โฮล์มส์ในนิยายขึ้นมามีชีวิตบนจอ

ส่วน Hardwicke ในบทหมอวัตสันก็จัดว่าเด่นแบบพอดีๆ ครับ ไม่น้อยแต่ก็ไม่มาก ไม่ได้ดูเป็นลูกคู่แนวตลกเหมือนสมัยก่อน แต่ก็ไม่ได้จริงจังจ๋าจนเกินไป… พูดยากเหมือนกันครับ เพราะแกก็เล่นดี แต่ไม่ได้เตะตาอะไรมากนัก

Untitled07442

ถ้าถามว่าหนังดีไหม… บอกได้เลยครับว่าสิ่งต่างๆ นับว่าดีจนน่าปรบมือสำหรับหนังโทรทัศน์ พวกโปรดักชั่น การแสดงอะไรนี่จัดว่าฟอร์มแข็งปั๋งเลยล่ะครับ และที่สำคัญคือ หนังซื่อสัตย์กับนิยายแบบสุดๆ เดินเรื่องนี่เหมือนเปิดหนังสืออ่านไปทีละหน้าๆ ยังไงยังงั้นเลยล่ะครับ

ครับ หนังจัดว่าดี ซื่อสัตย์ต่อนิยาย แต่ก็ยอมรับครับว่าครึ่งแรกหนังเดินเรื่องค่อนข้างช้า จังหวะต่างๆ ถือว่าอืดพอตัว

อย่างที่บอกน่ะครับ เหมือนเปิดนิยายอ่านไปทีละหน้า แต่ละฉากก็เหมือนถอดมาจากการบรรยายตามตัวอักษร เช่น กล้องจับที่ใบหน้าของโฮล์มส์ตอนครุ่นคิดก็ฟรีซกล้องอยู่นานพอดู หรือตอนที่กล้องค่อยๆ แพนไปที่ส่วนต่างๆ ในแต่ละฉาก พวกตึก คฤหาสน์ หรือลำน้ำ เหมือนนิยายค่อยๆ บรรยายทีละส่วนๆ ว่ามันมีโคมไฟ มีวอลเปเปอร์รูปไหนอะไรเป็นต้น

ด้วยจังหวะแบบนี้แหละครับ ทำให้อะไรๆ มันดูอืดไปสักนิด นี่หมายถึงครึ่งแรกนะครับ แต่พอเรื่องมาถึงครึ่งหลังอะไรๆ ค่อยน่าติดตามมากขึ้นหน่อย

เอาเป็นว่าหนังดีน่ะครับ บอกได้เลยว่าองค์ประกอบมันดี ดาราดี ฉากดี ตรงตามนิยายดี แต่ครึ่งแรกของเรื่องอาจต้องใช้ความอดทนในการดูสักหน่อยครับ

ถ้าจะพูดให้ถูกคือ นี่เป็นหนังสไตล์อังกฤษครับ ที่ไม่เน้นหวือหวา แต่จะเน้นให้คนดูค่อยๆ ซึมอารมณ์กับเรื่องราวไปเรื่อยๆ ถ้าคุณถูกเส้นล่ะก็ หนังเรื่องนี้น่าจะเป็นโฮล์มส์ตอนที่คุณโปรดมากอีกตอนหนึ่งเลยล่ะครับ

ส่วนผม… ก็อย่างที่บอกครับ รู้สึกอืดสักนิดในครึ่งแรก แต่พอโฮล์มส์เริ่มลงสนามปีนตึกวิ่งไปทั่ว ความน่าสนใจก็เริ่มไหลมา แต่ถ้าใครชอบหนังที่มันเร่งเร้า ตื่นเต้น เดินเรื่องไว ก็ต้องขอให้ทำใจไว้ก่อนครับว่าโฮล์มส์ฉบับนี้ไม่ได้มาในโทนเร้าใจครับ

สองดาวครึ่งครับ

Star22

(7/10)