The Fabelmans – เดอะ เฟเบิลแมนส์

 THE FABELMANS
— 9.6/10 —
พาสำรวจความคลั่งไคล้ ความอัจฉริยะ ความฝัน ชีวิต
ทั้งสุข เศร้า เหงา แฮปปี้ แง่มุมธรรมดาที่ไม่ธรรมดา
ของพ่อมดวงการฮอลลีวูดที่ชื่อว่า Steven Spielberg

เมื่อพูดถึง Steven Spielberg หลายคนคงคุ้นเคยกับฉายา “พ่อมดแห่งวงการฮอลลีวูด” ที่รังสรรค์ผลงานราวกับมีมนต์วิเศษอยู่เสมอ เขาฝากผลงานชั้นยอดเป็นปรากฏการณ์ไว้มากมาย ทั้ง Jaws (1975), Raiders of the Lost Ark (1981), E.T. the Extra-Terrestrial (1982), Jurassic park (1993), Schindler’s List (1993), Saving Private Ryan (1998), Catch Me If You Can (2002), Lincoln (2012), The Post (2017), Ready Player One (2018), West Side Story (2021) นี่แค่ส่วนนึง เพราะผลงานของเขายังมีอีกมากมาย เรียกได้ว่าเห็นชื่อเขาก็การันตีคุณภาพเลยก็ว่าได้ ในครั้งนี้เขามาทำหนังจากเรื่องราวของตัวเขาเอง ที่เจ้าตัวบอกเลยว่าถ่ายทอดออกมาแบบตรงไปตรงมา 100% เลยทีเดียว ในระหว่างถ่ายทำมันก็จะเต็มไปด้วยห้วงอารมณ์ความรู้สึกของ Steven Spielberg หนังเรื่องนี้มันจึงเต็มไปด้วยหัวจิตหัวใจ กับเรื่องราวอันงดงาม มีความสุขและขมขื่นของเจ้าตัว ที่ถ่ายทอดออกมาอย่างละเมียดละไมด้วยความตั้งใจอันเต็มเปี่ยม 

ถึงแม้คนที่ไม่รู้มาก่อนว่านี่คือหนังที่สร้างมาจากเรื่องจริงของ Steven Spielberg ก็ยังสามารถสนุก เอ็นจอย และสัมผัสคุณค่าของหนังเรื่องนี้ได้อย่างครบถ้วน เพราะมันคือหนัง coming-of-age ที่บอกเล่าถึง Sammy Fabelman เด็กหนุ่มที่หลงไหลในศาสตร์แห่งการถ่ายทำภาพยนตร์มาตั้งแต่เด็ก จนทำให้เขามีความตั้งใจและใฝ่ฝันอยากทำงานในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ แต่เส้นทางการเติบโตของเขามีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายที่ทั้งหวานและขม ปะปนกันไปที่หล่อเลี้ยงให้เขาเติบโตขึ้นมาเป็นอย่างที่เขาเป็นในทุกวันนี้

อย่างที่บอกไปตอนแรกหากใครได้ดูหนังเรื่องนี้จะสัมผัสได้ถึงความตั้งใจอย่างมาก ที่ Steven Spielberg พยายามถ่ายทอดเรื่องราวออกมาให้ผู้ชมอย่างเราได้ดูกัน คือมันดูแล้วรู้เลยว่าหนังเรื่องนี้เต็มไปด้วยหัวจิตหัวใจ มันเหมือนเป็นจดหมายรักที่เจ้าตัวได้ให้ไว้แก่ภาพยนตร์ และก็ยังถ่ายทอดมาให้เราได้รู้สึก รับรู้และเติมไฟในฝัน อีกทั้งยังจูงมือพาเราไปสำรวจเรื่องราวในแง่มุมชีวิตของเขา ทั้งความหลงไหล ความรัก ครอบครัว มันคือหนัง coming-of-age ชั้นเยี่ยมเรื่องนึง ที่เล่าอย่างง่าย ๆ แต่เอ่อล้นไปด้วยจิตวิญญาณ ที่ให้ความรู้สึกเราแบบหลากหลายมาก มีความสุข ซึ้ง เหงา เศร้า และเติมไฟให้เรา มันกลมกล่อมมาก

ครอบครัว กับ ศิลปะ จะฉีกเธอออกเป็นสองส่วน 

ในหนังเรื่องนี้เราจะได้สัมผัสด้านธรรมดาของ “พ่อมด” คือเอาจริง ๆ เราคงนึกไม่ออกหรอกว่าตัวจริง Steven Spielberg วัยเด็กเป็นยังไง วัยรุ่นเป็นยังไง เราโตมากับหนังของเขาแต่นั่นก็ตอนเขามีอายุแล้ว หนังเรื่องนี้จึงเป็นการเปิดอีกด้านในแง่มุมที่เราไม่เคยได้สัมผัสถึงมาก่อน หนังยังใส่ใจใส่กิมมิคเล็ก ๆ ด้วยเทคนิคการถ่ายทำหนังต่าง ๆ ที่เจ้าตัวเคยใช้ตั้งแต่เด็กยันมหาวิทยาลัย คือมันเป็นซีนเล็ก ๆ ที่สื่อถึงความอัจฉริยะทางด้านภาพยนตร์ของเขาได้อย่างน่าทึ่ง คือมันเหมือนตอบข้อสงสัยว่าทำไมเขาถึงโตมาแล้วหลงไหลในศาสตร์การทำภาพยนตร์อย่างทุกวันนี้ หนังหยิบสิ่งเล็ก ๆ ระหว่างทางมาประกอบกันให้เราได้เข้าใจในจุดนี้มากขึ้น ประเด็นดราม่าต่าง ๆ ก็ทำออกมาได้พอดี ไม่ขยี้จนฟูมฟาย แต่ก็ไม่ได้เบาบางจนแตะต้องไม่ได้ ตัวหนังยังดำเนินเรื่องแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่รีบร้อน แต่ก็ไม่น่าเบื่อ มันมีจังหวะในการเล่าที่ลงตัว ร้อยเรียงเรื่องราวได้ดีมาก หนังเปิดเรื่องได้แบบตรงจุด และปิดเรื่องได้โคตรลงตัว พร้อมมุกเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เผลอทำให้เราหลุดปรบมือกลางโรงเลย 

เมื่อเส้นขอบฟ้าอยู่ข้างใต้ มันน่าสนใจ

เมื่อเส้นขอบฟ้าอยู่ข้างบน มันน่าสนใจ

เมื่อเส้นขอบฟ้าอยู่ตรงกลาง มันน่าเบื่อชิxหาย

ถึงแม้หนังจะอิงมาจากเรื่องราวจริง ๆ ของ Steven Spielberg แต่หนังก็ไม่ได้หนักไปทางอวยตัวเอง เพราะตัวหนังยังบอกเล่าเรื่องราวแง่มุมอื่น ๆ ของหลากหลายตัวละคร โดยไม่ได้ตัดสินหรือชี้นำ จนบางช่วงเรารู้สึกไปว่าเอ๊ะ ทำไมหนังไม่ลงรายละเอียดเรื่องนั้นเรื่องนี้ ผ่านไปเร็วจัง แต่พอค่อย ๆ นั่งคิดก็นึกขึ้นได้ว่านี่คือประสบการณ์ที่ Steven Spielberg เจอมาในชีวิต เขาไม่สามารถคิดแทนหรือตัดสินใครได้ เขาเพียงแต่นำเรื่องราวเหล่านี้มาบอกเล่า เราจึงได้รับรู้เหตุผลต่าง ๆ ในแง่มุมที่เจ้าตัวรับรู้เท่านั้น ทั้งทางฝั่งพ่อหรือทางฝั่งแม่ คือทุกเหตุการณ์ในหนังจะเกิดขึ้นผ่านตัวละครของ Sammy เท่านั้น หนังจึงไม่เลือกจะคิดแทนตัวละครอื่นที่อยู่นอกเหนือการรับรู้หรือมองเห็นของ Sammy คือหนังจริงใจมากที่เลือกเล่าแบบนี้

ที่เราชอบอีกอย่างในหนังเรื่องนี้คือ บทพูด หนังมีบทพูดคม ๆ ที่ให้ข้อคิดมากมาย ที่แบบมันคมอะ มันดูธรรมดากับบริบทในหนัง คือมันไม่ได้เวอร์เกินจริงจนเหมือนประดิษฐ์ แต่มันคมถึงแม้มันจะธรรมดานั่นแหละ เช่น

ทำสิ่งที่หัวใจบอกให้ทำเถอะ เพราะลูกไม่ได้เป็นหนี้ชีวิตใคร แม้กระทั่งแม่ก็ตาม

ภาพยนตร์คือความฝันที่เธอจะไม่มีวันลืม

ศิลปะจะให้มงกุฏแก่คุณบนสวรรค์และเกียรติยศแก่คุณบนโลก แต่มันจะฉีกหัวใจของคุณออกเป็นเสี่ยง ๆ และปล่อยให้คุณโดดเดี่ยว

นี่แค่ส่วนนึง เพราะยังมีคำอีกมากมาย ที่แบบตราตรึงใจและประทับใจไม่น้อยเลย

ตัวหนังอาจไม่ได้สเกลใหญ่ขนาดนั้น แต่หนังก็มีการถ่ายทอดและถ่ายทำอย่างตั้งใจ เพราะตัวหนังมีการใช้มุมกล้องและบอกเล่าเหมือนหนังยุคเก่า มีการจัดแสงที่ดี ดนตรีประกอบก็ส่งกับเรื่องราวได้ดีเช่นกัน 

ทางด้านนักแสดงต้องบอกว่าแสดงได้ดียกชุดเลย ไล่ตั้งแต่ Gabriel LaBelle ที่รับบท Sammy Fabelman ที่แสดงได้ดีทั้งในพาร์ทของความหลงไหล มีความสุข และดราม่าก็เข้าถึงอารมณ์ได้อย่างธรรมชาติ ไม่ดูประดิษฐ์จนเกินไป แถมเจ้าตัวยังต้องเรียนรู้การถ่ายด้วยกล้อง 8mm และ 16mm จริง ๆ ในหนังด้วย เพราะฟุตเทจที่เขาถ่ายก็ได้นำไปใช้ในหนังจริง ๆ อีกที รวมถึงการตัดต่อฟิล์มและฉายฟิล์มในเครื่องฉาย ส่วนทางด้าน Paul Dano พูดได้เต็มปากเลยว่าเขาคือนักแสดงคุณภาพคนนึงของวงการฮอลลีวูด การที่เขามารับบท Burt Fabelman เจ้าตัวเคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่ามันเป็นภาระอันหนักอึ้งที่ต้องมารับบทชายผู้มีประสบการณ์มากมายขนาดนี้ ที่ต้องถ่ายทอดให้เหมือนพ่อของ Spielberg จริง ๆ แต่เขาก็ทำมันได้อย่างยอดเยี่ยม รวมถึง Michelle Williams ในบท Mitzi Fabelman ที่คุณภาพคับจอโดดเด่นมาก ๆ ในบางแง่มุมอาจจะมองว่าบทของเธอดูล้น ๆ กว่าคนอื่นสักหน่อย แต่ไม่แน่ว่าจริง ๆ แม่ของ Spielberg อาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้ แต่การแสดงของเธอก็ไม่ได้กลบหรือทำให้เรื่องราวมันเกินเบอร์ไปแต่อย่างใด มันกลับเป็นการเติมสีสันให้กับเรื่องราวที่ทำให้เรายิ้มได้ และเข้าใจในมุมมองที่ลูกมีต่อแม่ พอตัวละครนี้สดใสมาก ๆ มาแสดงด้านดราม่า ก็ทำให้ตัวละครนี้ดูน่าสงสารกว่าปกติและเศร้ามากขึ้นจริง ๆ แน่นอนว่าตัวละครอื่น ๆ ก็รับผิดชอบบทตัวเองได้ดีมากเช่นกัน 

สรุปแล้ว The Fabelmans เป็นหนัง coming-of-age ที่ดีเรื่องนึง ถ่ายทอดเรื่องราวความหลงไหลของ Steven Spielberg ได้อย่างมีหัวจิตหัวใจ ดูธรรมดาจับต้องได้ ที่ให้อารมณ์หลากหลายแก่ผู้ชมได้อย่างกลมกล่อมลงตัว เราจะได้เห็นทั้งความคลั่งไคล้ ความฝัน ความอัจฉริยะในการสร้าง และแง่มุมชีวิต ครอบครัว การเติบโตของเขา 

ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะมีหนังอย่าง Babylon ที่บอกเล่าวงการฮอลลีวูดได้อย่างจัดจ้าน ที่พูดถึงความฝัน และการเติบโต ที่เปรียบเสมือนการเล่าเรื่องของ Damien Chazelle อยู่เหมือนกัน ให้อารมณ์ความรู้สึกเหมือนฟังดนตรี Jazz แต่เรื่องนี้เหมือนขั้วตรงข้ามที่เล่าอย่างละมุนละม่อม ละเมียดละไม ที่ถ่ายทอดความฝันและการเติบโตได้ดีไม่แพ้กันราวกับฟังบรรเลงเปียโน 

และแน่นอนถึงแม้เรื่องนี้จะเป็นเรื่องส่วนตั๊วส่วนตัวของ Spielberg เอง แต่ก็เขายังสามารถร่ายมนต์สะกดคนดูทั้งโรงให้รู้สึกไปในทิศทางเดียวกัน พาท่องความทรงจำอันหอมหวานและขมขื่นของช่วงเวลาธรรมดาที่เป็นจุดเริ่มต้นอันแสนวิเศษ ของชายที่ชื่อว่า Steven Spielberg