THE BATMAN

THE BATMAN
— 9/10 —
เป็นหนัง Batman ในทิศทางที่แตกต่าง
แนวอาชญากรรมสืบสวนสอบสวนภายใต้ความเป็นฮีโร่
มีเสน่ห์ น่าติดตาม งานภาพงดงาม พร้อมการแสดงอันทรงพลัง

เป็นเวลา 10 ปีเลยทีเดียว กับการได้เห็นหนังเดี่ยว Batman ครั้งสุดท้ายใน The Dark Knight Rises (2012) แสดงโดย Christian Bale ของ Christopher Nolan ถึงแม้จะผลงานรวมทีมใน Justice League (2017) ที่แสดงโดย Ben Affleck แต่ก็ไม่ใช่หนังเดี่ยวแบทแมนจริง ๆ อยู่ดี จนกระทั่งนี่แหละ การมาของ The Batman ฉบับ Robert Pattinson ผ่านผลงานการกำกับของ Matt Reeves

Matt Reeves ได้บอกไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าหนัง Batman ของเขาจะแตกต่างจากที่ผ่านมา จะเน้นแนวสืบสวน ให้เหมือนความเป็น Batman ในคอมิกส์ต้นฉบับกับฉายา The World’s Greatest Detective หรือนักสืบที่เก่งที่สุดในโลก ซึ่งหากใครที่ได้ติดตามตัวละครนี้มาทั้งในคอมิกส์หรือเกม จะเห็นได้ว่านอกจากการออกหมัดและเท้าปราบปรามเหล่าร้ายในเมือง Gotham แล้ว สิ่งสำคัญของตัวละครนี้คือการสืบสวนคดีต่าง ๆ และนั่นคือไอเดียตั้งต้นกับการนำมาสร้างเป็นหนังเรื่องนี้ และเขาได้เลือกตัวร้ายอย่าง The Riddler (Paul Dano) ก็ยิ่งเหมาะสมกับการดำเนินเรื่องแนวสืบสวนอย่างยิ่ง 

นี่เป็นหนัง Batman ที่แตกต่างจากหนังแบทแมนที่เคยทำมาฉบับไหน ๆ ทั้งสิ้น เพราะนี่คือหนังอาชญากรรมสืบสวนสอบสวนเลย มีกลิ่นอายความเป็น Se7en (1995) อยู่ไม่น้อย ตัวหนังบอกเล่าเรื่องราวของ Bruce Wayne ที่รับหน้าที่เป็นอัศวินรัตติกาล Batman มาเป็นระยะเวลา 2 ปี คอยสร้างความกลัวให้อาชญากรเมือง Gotham จนเขาต้องมาสืบคดีใหญ่ของฆาตกรต่อเนื่องนามว่า The Riddler (Paul Dano) เขาต้องสืบหาความจริงร่วมกับ James Gordon (Jeffrey Wright) และมันนำพาเขาไปเจอกับบุคคลมากมาย ทั้ง Selina Kyle (Zoë Kravitz), Oswald Cobblepo/The Penguin (Colin Farrell), Carmine Falcone (John Turturro) และอีกมากมาย 

ต้องบอกก่อนว่าหนังเหมาะกับคนที่คุ้นเคยและติดตามแบทแมนมาบ้าง เพราะว่าหนังจะไม่เล่าเรื่องราวความสัมพันธ์กับตัวละครใด ๆ หรือไม่ได้ย้อนภาพแฟลชแบ็กการตายของพ่อแม่ Bruce Wayne ให้เห็นแต่อย่างใด รวมถึงตัวละครแวดล้อมต่าง ๆ ที่ถ้าไม่ใช่แฟนอาจจะไม่อินและไม่เข้าถึงความสัมพันธ์ต่าง ๆ สักเท่าไหร่ แต่มันก็ไม่ได้ถึงกับจะทำให้ดูไม่รู้เรื่อง แต่ถ้าติดตามเรื่องราวของแบทแมนมาบ้างก็จะดูสนุกมากขึ้น 

หนังมีความ Slow Burn กับความยาวเกือบ 3 ชั่วโมง ค่อย ๆ เล่าอย่างช้า ๆ ละเมียดละไม ผ่านปริศนาการไขคดีของ Batman ซึ่งในพาร์ทการไขคดีมันก็ไม่ได้ซับซ้อนหรือซีเรียสสักเท่าไหร่ จริง ๆ มันน่าจะไปได้สุดทางกว่านี้ มันสอดแทรกการแอ็คชันเป็นระยะ ๆ และแต่ละฉากแอ็คชันก็ดุเดือด ดิบ เถื่อน รุนแรงใช่เล่น แต่ถึงกระนั้นมันก็ไม่ได้ทำให้หนังน่าเบื่อแต่อย่างใด ถึงแม้เราจะรู้ตัวฆาตกรตั้งแต่ต้นแล้วว่าคือ The Riddler ความสนุกมันจึงไม่ใช่ความเป็น Whodunit การตามหาตัวฆาตกร แต่มันคือประเด็นการสืบหาบางอย่างที่ตัวฆาตกรต้องการนั่นแหละ ตัวหนังตั้งแต่ต้นจนจบมันจึงมีความชัดเจน แน่วแน่ ไม่ออกนอกลู่นอกทา ตรงประเด็นและเล่นเรื่องเหล่านั้นได้ดี แอบเสียดายว่าถ้าหนังเป็นเรท R ไม่ใช่ PG-13 มันอาจจะยกระดับอะไรหลาย ๆ อย่างในการเล่าเรื่องได้เยอะขึ้นแน่ ๆ 

ทางด้านการแสดงเราจะเริ่มจากตัวของ Robert Pattinson ในแง่ความเป็น Batman มีความเงียบ ขรึม ดุ ดูเหมาะสมเข้ากับแนวทางที่หนังเป็น ส่วนทางด้านการเป็น Bruce Wayne ก็ยังคงความเงียบ ขรึม ดุ และแสดงหน้าเดียวตลอดทั้งเรื่อง เราจึงไม่ได้เห็นซีนยาก ๆ หรือซีนโชว์ของของเขาสักเท่าไหร่ แต่แค่โผล่มาฉากแรกก็โคตรเท่แล้ว แถมชุดยังเท่ไม่แพ้กัน

แต่ทางด้านตัวละครแวดล้อมนี่ถือว่าแสดงได้ดีมาก ไล่ไปตั้งแต่ Paul Dano ในบท The Riddler ให้ตายเถอะคุณ เขาเล่นดีมาก ทั้งจิต บ้าคลั่ง น่ากลัว แต่ละซีนที่ออกมานี่ทรงพลังสุด ๆ แลดูชุดออกแบบมาคล้าย ๆ ฆาตกรอย่าง Zodiac

ส่วนการแปลงโฉมครั้งยิ่งใหญ่ของ Colin Farrell ในบท Oswald Cobblepot หรือ The Penguin อย่างที่เจ้าตัวเคยให้สัมภาษณ์เลย ถึงแม้จะไม่ได้มีแอร์ไทม์เยอะเท่าไหร่ แต่การแสดงของเขาก็น่าติดตาม ทำได้ดี คือถ้าไม่รู้มาก่อนว่า Colin แสดงนี่คือดูไม่ออกเลย มีความเจ้าพ่อมาเฟียกว่า John Turtorro ในบท Carmine Falcone อีก ถือว่าน่าติดตามมากกับการมีเรื่องราว Spinoff ซีรีส์ของตัวละครนี้

ส่วนทางด้าน Carmine Falcone ที่แสดงโดย John Turturro ที่ตอนเขาออกมาฉากแรก ๆ คือนึกว่าแบบเป็นตัวประกอบ ไม่มีรัศมีความน่ากลัว หรือความเป็นเจ้าพ่อมาเฟียเลย จะว่าไงดีล่ะ ขาดรังสีความอำมหิตน่าเกรงขามอะไรทำนองนั้น อาจจะเพราะโดนรัศมีตัวละครอื่นกลบด้วยหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ แต่การแสดงของเขาก็ถือว่าไม่แย่

ตามมาด้วย Zoë Kravitz ในบท Selina Kyle ก็มีเสน่ห์ เย้ายวน ดึงดูด และเคมีของนางกับ Batman นี่อิน อะ เรียกได้ว่า ดีมากกกกกกกจริง ๆ 

ความเข้าคู่กันของ The Batman กับ James Gordon ที่แสดงโดย Jeffrey Wright ก็ออกมาได้ดี เป็นคู่หูที่เคมีเข้ากันกับ Pattinson ใช่เล่น เขาแสดงได้ดูเป็น Gordon ที่ดี น่าเชื่อถือ และเป็นตัวละครที่ขาดไม่ได้ แต่แอบตะหงิดใจนิดนึงกับการทำงานของ Batman ในเรื่องนี้ดูไม่อยู่ในเงามืดเท่าไหร่ ดูเปิดเผยตัวตน ไม่ต้องหลบหนีตำรวจอะไรเท่าไหร่ ดูเบ่งได้เพราะมี Gordon อะไรทำนองนั้น แต่เข้าใจได้นะ บทมันเอื้อมาแบบนั้น

และไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือบท Alfred ที่แสดงโดย Andy Serkis ก็ยังมีความเป็น Alfred แต่ด้วยความที่แอร์ไทม์มันน้อย แอบเสียดายตรงจุดนี้เหมือนกัน อยากเห็นแบบดราม่าความสัมพันธ์ของ Alfred กับ Bruce มากกว่านี้

งานภาพก็ดีไซน์ออกมาได้งดงาม ถึงแม้ฉากส่วนมากจะมึด และฝนตกแทบจะตลอดเวลา แต่การเล่นแสงและเงาก็ทำออกมาได้ดี การถ่ายทำมุมกล้องต่าง ๆ ก็เหมาะสม เราจะได้เห็นสภาพเมือง Gotham ในอีกรูปแบบนึง 

เพลงประกอบก็ถือว่าทำได้ดี คือมันจะมีเพลงเฉพาะตัว Batman ที่โผล่มาทีเพลงนี้ก็ขึ้นมาที เพลงดูทรงพลัง น่าเกรงขามดี แต่มีแอบนึกถึงว่าถ้ามันย้ำโน้ตตัวเดิมอีกทีมันจะเป็นเพลง Star Wars ละนะ 555+

สรุป ถือว่ามาถูกทางและหนังเป็นแนวทางที่ดีเลย มีเสน่ห์และมีเอกลักษณ์ในตัวของมันเอง ภาวนาเลยแหละว่าอยากให้มีภาคต่อ และอยากให้ยึดแนวทางแบบนี้ต่อไป แต่คิดว่าถ้ามีภาคต่อแนวทางอาจเปลี่ยนไปตามตัวร้ายในภาคนั้น The Batman คือหนังมันมาในช่วงเวลาที่เหมาะสมแหละ คนเริ่มเบื่อหนังฮีโร่จ๋า ๆ แบบร่วมมือกันปราบตัวร้ายอะไรแบบนั้นแล้ว พอมีหนังฮีโร่ที่แปลกแหวกแนวออกมา มันก็สร้างแรงกระเพื่อมสร้างความแตกต่างออกมา และทำได้ดีซะด้วยสิ ทางด้านแฟนคลับ Batman หลายคนต้องชอบแน่นอน มี Easter Egg และฉากที่ทำแฟน ๆ นั่งเก้าอี้ไม่ติดแน่นอน 

ปล. หนังมีฉากหลัง End-Credit หนึ่งตัว ที่ไม่ได้ส่งผลต่อเนื่องเรื่องเท่าไร จะดูก็ได้ไม่ดูก็ไม่ได้พลาดอะไรไป แต่มันจะเป็นกิมมิคเล็ก ๆ ให้แฟน ๆ ไปเล่นกันต่อประมาณนั้น