Tesla คนล่าอนาคต

Tesla คนล่าอนาคต

ก่อนหน้านี้เราน่าจะได้เห็นหนังเกี่ยวกับชีวประวัติของบุคคลสำคัญของโลกหลายคน หนึ่งในนั้นก็คงจะเป็น “ทอมัส เอดิสัน” ผู้ประดิษฐ์คิดค้นและให้กำเนิดหลอดไฟส่องสว่างในทุกวันนี้ และแน่นอนว่าในเนื้อหาเกี่ยวกับชีวิตของเขาก็มักจะมีชื่อ “นิโคลา เทสลา” ปรากฏขึ้นมาอยู่ด้วยเสมอ แต่หนังที่ว่าด้วยเรื่องของใคร…ใครคนนั้นก็มักจะเด่นอยู่เสมอ คราวนี้จึงได้เปลี่ยนมุมมาสัมผัสชีวิตของอีกหนึ่งนักประดิษฐ์ดูบ้าง เขาคนนั้นก็คือคู่แข่งคนสำคัญ “Tesla เทสลา คนล่าอนาคต”

นิโคลา เทสลา หนุ่มผู้ที่พรสวรรค์ที่ลงทุนข้ามทวีปจากยุโรปไปแสวงหาโอกาสที่ฝั่งอเมริกา เขาที่มีความเก่งกาจทางด้านคณิตศาสตร์และมีแนวคิดออกแบบคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ ที่ผู้คนยังไม่รู้จัก และมักจะต้องเผชิญหน้ากับคำปรามาสและเสียงหัวเราะขบขันกับไอเดียของเขาอยู่เสมอๆ หนังะเล่าถึงช่วงเวลาที่เขาต้องต่อสู้เรื่องกระแสไฟฟ้ากับ ทอมัส เอดิสัน และเรื่องราวความรักกับ แอนน์ มอร์แกน ลูกสาวมหาเศรษฐีแห่งยุค พร้อมทั้งแรงบันดาลใจในการสร้างสิ่งประดิษฐ์ ทำให้เห็นว่าถ้าไม่มีเขา โลกก็คงไม่เปลี่ยนแปลงไปเหมือนทุกวันนี้ • อ่านเรื่องย่อหนังได้ที่นี่

ตลอดระยะเวลาประมาณ 90 นาทีของหนังเรื่องนี้ เต็มไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลายเป็นอย่างมาก อย่างแรก…คงต้องบอกก่อนเลยว่า Tesla ในฉบับนี้เป็นหนังชีวประวัติที่เต็มไปด้วยเนื้อหาทางวิชาการ เชิงวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ปะปนเต็มไปหมดตลอดทั้งเรื่อง แน่นอนนี่จึงกลายเป็นจุดด้อยที่สุดของเรื่อง เพราะเท่ากับเป็นความพยายามสื่อสารไปถึงคนดูไม่สำเร็จ ด้วยโจทย์และเนื้อหาที่เข้าถึงคนดูได้ยากเกินไป คนดูอยากเข้าไปดูความบันเทิง แต่ดันมาเจอบทสนทนาแก้โจทย์ปริศนาวิชาการล้วนๆ

ยอมรับเลยว่าการดำเนินเรื่องในช่วง 15-20 นาทีแรกคือความน่าเบื่อเชิงข้อมูล หนังก็ประดังประดาใส่เข้ามาเต็มๆ พลอยทำให้คนดูแทบหมดความสนใจดู ซ้ำยังออกอาการง่วงเหงาหาวนอนไปชั่ววูบเลยทีเดียว แต่บนพื้นฐานทางวิชาการที่เกิดขึ้นในหนัง โชคดีที่ยังพอได้ลูกเล่นเจ๋งๆ ที่หนังสอดแทรกเข้ามาได้อย่างลงตัว นั่นก็คือการเล่าเรื่องที่มีกิมมิกน่าสนใจ นับว่าเป็นการเล่าหนังประวัติศาสตร์ที่โดดเด่นในการนำเสนอ เนื้อหายังย้อนยุค แต่องค์ประกอบอื่นๆ ใส่ความทันสมัยเข้าไปได้สุดปัง

นี่คือหนึ่งในความประทับใจของหนังเรื่องนี้ ที่ทำให้คนดูยังตรึงตามองดูจอ เพราะรอคอยว่าหนังจะแทรกความเจ๋งแบบนี้ออกมาในฉากไหนอีก และกลายเป็นความเซอร์ไพรส์ให้กับคนดูอยู่ไม่น้อย อีกทั้งสิ่งที่น่าสนใจมากๆ ก็คือการใช้วิธีเล่าเรื่องที่แปลกแตกต่างจากหนังชีวประวัติเรื่องอื่น แม้จะใช้บุคคลที่ 3 เข้ามาเป็นตัวแทนเล่าเรื่อง แต่กลับนำเสนอได้อย่างยูนีค ทันสมัย และทำให้หนังโบราณๆ ผสมผสานเป็นวินเทจร่วมสมัยได้อย่างลงตัวเฉย

ทางฝั่งการแสดงก็ต้องยกนิ้วให้ “อีธาน ฮอว์ค” ที่แบกรับหนังทั้งเรื่องเอาไว้ได้อยู่หมัด ถ่ายทอดคาแรกเตอร์ นิโคลา เทสลา ออกมาได้อย่างเข้าถึง และทำให้คนดูรู้สึกคล้อยตาม แม้ว่าบทจะค่อนข้างส่งเสริมการแสดงได้ดีอยู่แล้ว จึงทำให้ภาพรวมตัวละครยังไม่ค่อยมีมิติมากสักเท่าไหร่และค่อนข้างน่าเสียดาย

งานกำกับของ “ไมเคิล อัลเมอเรย์ด้า” เต็มไปด้วยสีสันและลูกเล่นที่ทำให้น่าตื่นตา ยอมรับเลยว่าบทและเนื้อหาที่ดูหนักอึง เข้าใจยากไปหน่อย แต่กลับได้องค์ประกอบศิลป์และงานสร้างที่มีกิมมิกสอดแทรกสไตล์เข้าไป ทำให้ช่วยดึงดูดใจคนดูได้ไปอีกระดับ

Tesla เทสลา คนล่าอนาคต เสมือนกับได้กลับไปทบทวนบทเรืยนวิชาประวัติศาสตร์, วิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ ไปคาบเดียวกัน แม้จะคาบเรียนที่อยากจะนั่งหลังห้อง เพราะอยากจะสัปหงกเพราะอาจารย์สอนได้โมโนโทนไปสักหน่อย แต่ก็พอมีแรงจูงใจได้สะดุ้งตาตื่นลุกขึ้นมาให้ความสนใจได้อีกครั้งอยู่

และทำให้เราได้รู้จักผู้ชายชื่อ เทสลา ขึ้นไปอีกขั้น เพราะต้องยอมรับเลยว่าเขาคืออัจฉริยะที่ถูกลืม เขาอยู่ในช่วงที่ผิดเวลา แต่ต้องไม่ลืมว่า…หากไม่มีแนวคิดไอเดียของเขาในวันนั้น เราก็คงไม่มีการสื่อสารที่ล้ำเลิศในปัจจุบันได้เพียงเท่านี้ สรุปในภาพรวมของ Tesla จึงเป็นหนังที่ไม่ได้เหมาะกับคนทุกกลุ่ม ยังเป็นหนังที่ค่อนข้างเข้าใจยาก แต่ก็ยังมีเนื้อหาที่น่าพอใจ กับลูกเล่นที่แทรกเข้ามาในหนังที่ประทับใจอยู่

ข้อมูลเกี่ยวกับหนัง Tesla เทสลา คนล่าอนาคต
ประเภท: ดราม่า
ผู้กำกับ: ไมเคิล อัลเมอเรย์ด้า
นำแสดงโดย: อีธาน ฮอว์ค, อีฟ ฮิวสัน, ไคล์ แม็คลัคแลน
ความยาว: 96 นาที
เข้าฉาย: 24 กันยายน 2020

Movie.TrueID METRIC: “Tesla”
ภาพรวม: ⭐⭐⭐⭐⭐⭐ (6/10)
การเล่าเรื่อง: ⭐⭐⭐⭐⭐⭐ (6/10)
การแสดง: ⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐ (7/10)
บทภาพยนตร์: ⭐⭐⭐⭐⭐⭐ (6/10)

————————————————–