Last Christmas (2019) ลาสต์คริสต์มาส

Untitled07177

ผมชอบ Last Christmas ตั้งแต่รอบแรกที่ดูครับ อาจไม่ถึงกับชอบแบบสุดๆ แต่โดยรวมแล้วผมชอบสิ่งที่หนังนำเสนอและชอบโทนของหนังครับ

เคท (Emilia Clarke) สาวน้อยที่ใช้ชีวิตออกแนวไม่จริงจังอะไรมาก ปากบางทีก็ออกแนวหาเรื่อง ใช้เวลาไปกับสุราและการเปลี่ยนคู่นอนไปเรื่อยๆ จนคนรอบข้างเธอก็เริ่มจะรับไม่ไหว แล้วอยู่มาวันหนึ่งเธอก็ได้เจอกับทอม (Henry Golding) หนุ่มที่ชอบทำอะไรแปลกๆ และเต็มไปด้วยพลังเชิงบวก ซึ่งเขานี่แหละครับที่จะมาช่วยให้เคทค้นพบตัวตนที่หายไป และหันกลับมาใช้ชีวิตอย่างมีค่าและเหมาะควร

หนังน่ารักดีครับ ผมชอบในองค์ประกอบหลายๆ อย่าง อย่างแรกเลยคืองานภาพครับ ภาพสวยมาก หนังสามารถจับบรรยากาศเทศกาลคริสต์มาสมาใส่จอได้แบบเวิร์กสุดๆ ไม่ว่าจะสีสันของแสงไฟ บรรยากาศไอหนาวตามท้องถนน หรือของประดับประจำเทศกาลที่เสริมให้แต่ละฉากดูสวยงามจับตา ยิ่งที่ทำงานของเคทเป็นร้านขายของวันคริสต์มาสด้วยแล้ว สีสันต่างๆ ในฉากก็ได้อารมณ์วันคริสต์มาสแบบสุดๆ

อันนี้ขอชมผู้กำกับภาพ John Schwartzman เลยครับ วางช็อตถ่ายมาได้สวยจริงๆ และการจับภาพของเขาจะมีหลายอารมณ์ครับ บางอารมณ์ก็ถ่ายเคทโดยมีฉากหลังเป็น “การเคลื่อนไหวของชีวิตเมือง” หรือตอนไหนพอเคทจิตตกไม่เหลือใคร เมื่อนั้นบรรยากาศภาพจะกลายเป็นเสมือนว่าเคทอยู่ในโลกเพียงลำพัง รอบข้างดูเงียบเหงา โดดเดี่ยว และแน่นอนครับว่าพอถึงฉากที่ทอมและเคทอยู่ด้วยกัน ฉากเหล่านั้นจะดูสดใส มีชีวิตชีวาขึ้นมาทันตา

ยอมรับครับ Schwartzman จับภาพมาได้ดีจริงๆ (ผลงานที่ผ่านมาของเขาก็มีอย่างเช่นเรื่อง The Rock, Armageddon, Pearl Harbor, Seabiscuit, Saving Mr. Banks และ The Founder ครับ)

ดนตรีของ Theodore Shapiro ก็ถือว่าพอเหมาะครับ โดยเฉพาะฉากซึ้งๆ ท่วงทำนองของดนตรีที่ขึ้นมานั้นจะคลอไปกับเรื่องราวแบบพอดี ช่วยเสริมอารมณ์ได้ หรือตอนไหนตัวละครเหงาๆ ก็ทำให้เราซึมๆ ไปได้เหมือนกัน

และผมชอบพล็อตเรื่องครับ ถือเป็นหนังแนว “ตัวเอกพบเรื่องราวเปลี่ยนชีวิต” จากที่แย่ๆ ให้กลายเป็นดีที่ทำได้เข้าท่าอีกเรื่อง

หนังเน้นย้ำประเด็นที่ว่า “ทุกการกระทำเล็กๆ ในแต่ละวัน สามารถสร้างหรือทำลายตัวตนของเราได้” อย่างตัวเคทเองที่กราฟชีวิตตกต่ำก็เพราะการกระทำของเธอเป็นหลัก จริงครับที่สิ่งแวดล้อมบางประการของชีวิตเธอก็มีส่วนให้เธอยิ่งไปกันใหญ่ เช่น เรื่องครอบครัวเป็นต้น แต่หนังก็บอกกับเราแบบตรงๆ ครับ ว่าแม้รอบตัวจะแย่เพียงไหนก็ตาม แต่หากเรายังตั้งใจต่อสู้เพื่อให้ตัวเองลุกขึ้นมา เราก็ยังสามารถเปลี่ยนแปลงและยกระดับชีวิตได้ แม้บางส่วนบางเสี้ยวของชีวิตจะไม่เอื้ออำนวยก็ตาม

และดีไม่ดีพอเราเปลี่ยนได้แล้ว ตัวเราคนใหม่นี่แหละที่อาจจะกลับไปช่วยปรับสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดีเหล่านั้นให้กลายเป็นดีก็เป็นได้

Untitled07178

แน่นอนว่ามันไม่ง่ายครับ สำหรับบางคนอาจไม่เห็นหนทางเลย แต่นั่นก็ขึ้นอยู่กับเราครับว่าเราจะปล่อยให้ตัวเองจมอยู่แบบนั้น หรือหาทางแหวกว่ายไปให้พ้นจากชีวิตแย่ๆ

และการเปลี่ยนแปลงจาก “ชีวิตแย่” ไปเป็น “ชีวิตดี” นั้น อาจไม่ได้เกิดเพียงชั่วข้ามคืน ไม่ใช่ทำดีวันนี้แล้วพรุ่งนี้จะเปลี่ยนไปทันที มันอาจต้องใช้เวลาและความพยายามอย่างมาก และไม่มีอะไรรับประกันว่าชีวิตเราจะดีขึ้นได้ภายในกี่วัน กี่เดือน หรือกี่ปี

แต่สิ่งที่รับประกันได้อย่างหนึ่งก็คือ ถ้าเราไม่เปลี่ยนอะไรเลยล่ะก็ ชีวิตเราก็จะกราฟดิ่งอยู่แบบนั้นนั่นแหละครับ

จะเปลี่ยนหรือไม่ ขึ้นอยู่กับตัวเราครับ และหากเราตัดสินใจที่จะเปลี่ยน เราก็สามารถเริ่มเปลี่ยนได้จากการกระทำของตัวเราเอง ไม่จำเป็นว่าต้องเปลี่ยนแบบใหญ่โตโอฬาร เพราะเราสามารถลองเปลี่ยนแบบทีละนิดทีละหน่อยเท่าที่จะทำได้ แล้วการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ที่เราทำอย่างต่อเนื่องก็จะสามารถเหนี่ยวนำการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่มาสู่ชีวิตของเราได้ครับ

ก็เหมือนที่เราเห็นในหนังน่ะครับ ช่วงต้นเคทมีชีวิตแบบไม่มีสติ หายใจแบบทิ้งขว้าง ไม่รู้ว่าตัวเองคือใคร ไม่รู้กระทั่งว่าตัวเองควรหรือไม่ควรทำอะไร ก่อปัญหาให้ตัวเองและผู้อื่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกระทั่งทอมเข้ามาในชีวิต สอนให้เธอเปลี่ยนมุมมอง เปลี่ยนมุมคิด เปลี่ยนพฤติกรรม รวมถึงรู้จักหันมาสังเกตพิจารณาตนเอง เมื่อนั้นเคทถึงจะเริ่มมีจิตใจคืนกลับมาสู่ร่าง รู้จักเลือกสิ่งดีๆ เพื่อตนเอง และรู้จักเชื่อมชีวิตเข้ากันคนอื่นอีกครั้ง

คำว่า Look Up ที่ทอมชอบย้ำนั้น ผมว่ามีความหมายหลายมุมดีนะครับ

มันอาจหมายถึง “เงยหน้าขึ้นสิ” เพราะบางทีเราก็ก้มหน้าก้มตาใช้ชีวิตแบบเดิมๆ โดยไม่เงยหน้าขึ้นมาตรวจตราวิธีการดำเนินชีวิต ปล่อยให้มันเป็นไปตามยถากรรม แบบนั้นเราจะไม่เห็นตัวเองว่ากำลังทำอะไร หรือกำลังอยู่ในจุดไหน และแบบนั้นเราก็ยากที่จะมองเห็นอนาคตที่สดใสของชีวิต

มันอาจหมายถึง “ปรับปรุงขึ้นสิ” อันนี้ก็ตรงตัวครับ เราสามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงยกระดับตัวเองได้เสมอ หากเราต้องการ

หรือมันอาจหมายถึง “กล้าเผชิญหน้าสิ” กล้าเงยหน้าขึ้นมาเผชิญกับชีวิต สบตากับความจริง ยืดอกรับผิดชอบในสิ่งที่เรากระทำ และกล้าที่จะเงยหน้าขึ้นมาควบคุมชะตาชีวิตตนเอง

อย่ามัวก้มหน้าให้ชะตากดหัว อย่ามัวขลาดกลัวให้ชะตาเยาะหยัน… ผมคิดแบบนั้นครับ

Untitled07179

สำหรับผมแล้วนี่เป็นหนังโรแมนติกวันคริสต์มาสแบบที่ไม่ได้เห็นมานานพอควรครับ ส่วนมากหนังแนวนี้มักจะอยู่ตามช่อง Hallmark, Lifetime หรือไม่ก็ในสตรีมมิ่ง Netflix อย่างที่ผมชอบบอก (หรือบ่น) ว่าหนังแนวนี้ไม่ค่อยมีคนทำเข้าโรงกันแล้ว ก็รู้สึกดีใจครับที่มีหนังเรื่องนี้ออกมาให้ได้ดู และดีใจด้วยที่หนังถือว่าประสบความสำเร็จในระดับที่น่าพอใจ ทำเงินไปทั่วโลกราวๆ $121 ล้าน จากทุนสร้างประมาณ $25 ล้าน ก็ถือว่ากำไรใช้ได้อยู่ครับ

Clarke ถือว่าไปได้ดีกับบทเคทครับ เธอมีความน่ารัก โก๊ะๆ ตามสไตล์ ช่วงต้นๆ ก็ดูเป็นสาวน้อยที่ไม่จริงจังกับชีวิตได้จริงๆ เวลาทำอะไรผิดทีก็ทำหน้าเหมือนลูกหมาหูตูบ ครั้นพอถึงตอนหลัง เมื่อถึงตอนที่เธอคิดได้ เธอก็ทำให้เราเชื่อครับว่าเธอได้เปลี่ยนแปลงตัวเองไปแล้วจริงๆ ส่วน Golding ก็ลื่นไหลไปกับบททอมครับ เขาแสดงได้พอเหมาะตามบท โดยเฉพาะเมื่อถึงซีนอารมณ์ แววตาของเขาก็สามารถสื่อสารความนัยที่อยู่ในใจได้อย่างดี เรียกว่าพระนางคู่นี้ถือว่าเวิร์กครับ

ส่วนดาราสมทบจริงๆ ถือว่าคัดมาดีนะครับ Emma Thompson ในบทคุณแม่ของเคท รายนี้ดูแล้วก็เชื่ออีกเช่นกันว่าพฤติกรรมของเธอนั้นส่งผลต่อชีวิตของเคทแน่นอน ก็คือแสดงได้ดีนั่นแหละครับ, Michelle Yeoh รายนี้ก็ถือว่าโอเคครับ เธอดูเป็นหัวหน้าที่ใส่ใจ แต่ขณะเดียวกันเธอก็แสดงให้เห็นว่าเธอรู้สึกผิดหวังในตัวเคทไม่น้อย ยามที่เคทปล่อยปละละเลยไม่ว่าจะชีวิตหรืองาน จริงๆ บทสมทบทั้งหลายถือว่าเลือกมาได้เหมาะครับ แต่ขณะเดียวกันบทบาทของพวกเขาก็ไม่ถือว่ามาก จนอดคิดไม่ได้ว่าถ้ามากอีกนิดก็น่าจะดีและน่าจะเป็นสีสันให้กับหนังได้… ก็น่าจะเป็นอันนี้แหละครับที่ผมรู้สึกว่ามันพร่องไป เพราะปกติบทสมทบแบบนี้สามารถขโมยซีนและเพิ่มรสชาติให้หนังได้

แต่จุดนี้ผมก็มองอีกมุมน่ะนะครับ มองในแง่ของบทว่าอาจเพราะต้องการให้เคทดูโดดเดี่ยว ประมาณว่าเธอไม่เปิดโอกาสให้ใครช่วย และคนอื่นก็ไม่สามารถช่วยเคทได้ จนทำให้กราฟชีวิตของเธอดิ่งลงๆ จนคนรอบตัวก็ไม่อยากเข้ามายุ่งเกี่ยว บทบาทของคนรอบๆ ตัวเธอก็เลยมีปริมาณไม่มากเท่าไร อะไรประมาณนี้

สำหรับบทหนัง Last Christmas ก็เขียนขึ้นโดย Emma Thompson และ Greg Wise (สามีของเธอเองครับ) Thompson เริ่มร่างบทหนังตั้งแต่ปี 2010 โดยได้แรงบันดาลใจมาจากเพลงชื่อเดียวกันนี้ของ George Michael และกว่าบทจะสำเร็จออกมาเป็นหนังก็ใช้เวลาถึง 8 ปีทีเดียวครับ

พอบทเขียนเสร็จ ผู้กำกับรายที่ Thompson อยากให้มารับงานไปทำก็คือ Paul Feig แต่ Feig เองก็ออกตัวเลยว่าเขาไม่อยากจะทำหนังเกี่ยวกับวันคริสต์มาสสักเท่าไร เนื่องจากผลงานว่าด้วยวันคริสต์มาสของเขาอย่าง Unaccompanied Minors (2006) ประสบความล้มเหลวทั้งคำวิจารณ์และรายได้ (เรื่องนั้นลงทุน $25 ล้าน แต่ได้คืนมาจากทั่วโลกเพียง $21.9 ล้านเท่าน้น สรุปคือขาดทุน) จนเขารู้สึกเข็ดน่ะครับ

แต่กระนั้น Thompson ก็ยังอยากให้ Feig มากำกับครับ เธอเลยส่งบทหนังเรื่องนี้ให้ Feig เป็นการส่วนตัว เธอขอให้เขาลองอ่านดูสักครั้งแล้;ค่อยตัดสินใจ อ่านแล้วจะไม่รับทำก็ได้ไม่ว่ากัน และในที่สุด Feig ก็อ่านมันจนจบ ผลก็คือเขาชอบครับ แล้วก็ยอมรับหน้าที่กำกับในที่สุด

ถือเป็นหนังรักวันคริสต์มาสที่ทำออกมาได้ดีเรื่องหนึ่งครับ ภาพสวย บรรยากาศเหมาะ ดนตรีเพราะ เพลงก็ดี และตัวละครสมทบในหนังก็ช่วยเพิ่มรสชาติให้ได้ไม่น้อย เรียกว่าครบเครื่องสำหรับหนังแนวนี้ครับ ดูจบแล้วยังได้แง่คิดดีๆ นำมาใช้นำทางเพื่อการยกระดับตัวเองได้อีกด้วย

Untitled07180

ทีนี้หนังมีส่วนที่ผมอยากจะพูดถึงสักหน่อย แต่มันคือสปอยล์ครับ ดังนั้นแล้วใครไม่อยากทราบอย่าอ่านต่อนะครับ เอาเป็นว่าหนังเรื่องนี้น่าดูครับ ถ้าท่านชอบหนังรักวันคริสต์มาสที่บรรยากาศดีๆ ล่ะก็ เรื่องนี้ถือว่าเหมาะครับ

======== สปอยล์มาละนะครับ ==========

ผมเองยอมรับว่าอึ้งไปกับการหักมุมของหนังเหมือนกันนะ

คือจริงๆ ตอนดูตัวอย่างผมก็เดาไปในทางที่ว่า ตอนจบอาจมีตัวละครใดตัวละครหนึ่งตายครับ แต่ไม่นึกว่ามันจะกลายเป็นว่าทอมตายตั้งแต่ต้น ตอนรู้นี่ก็อึ้งพอๆ กับนางเอกครับ ประมาณว่า “เอ่อ นี่พี่เล่นกันอย่างนี้เลยรึ”

แต่ผมชอบนะ มันเป็นอะไรที่มีความหมายดี ที่แน่ๆ เลยคือมันตรงกับชื่อเรื่องมากๆ ว่า Last Christmas คริสต์มาสที่แล้ว ทอมตาย แล้วก็มอบหัวใจให้เคท แต่แล้วเคทกลับไม่ดูแลหัวใจนั้น ทอมเลยต้องกลับมาเพื่อทำให้เธอเห็นคุณค่าของชีวิตอีกครั้ง… เข้าท่าดี

และเหตุการณ์ในหนังนั้นเกิดในปี 2017 ครับ และการที่หนังกำหนดแบบนั้นก็เพราะ หากเรื่องราวในหนังเป็นปี 2017 แสดงว่า “Last Christmas” หรือคริสต์มาสที่แล้วก็จะหมายถึงวันคริสต์มาสปี 2016 ซึ่งตามเนื้อเรื่องแล้วเป็นวันที่ทอม เว็บสเตอร์เสียชีวิต และวันดังกล่าวนั้นเองก็เป็นวันเสียชีวิตของ George Michael เจ้าของเพลง Last Christmas ตัวจริงเช่นกันครับ

นอกจากนี้ตัวทอมกับ George Michael นั้นยังมีอะไรเหมือนกันหลายอย่าง นอกจากจะเสียชีวิตวันเดียวกันแล้ว ตัว George Michael เองก็ชอบแฝงตัวไปทำหน้าที่เป็นจิตอาสาคอยช่วยเหลือคนไร้บ้าน ดังนั้นหากจะกล่าวว่าตัวละคร ทอม ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อเป็นการระลึกถึง George Michael ก็คงไม่ผิดอะไรครับ

ก็ขอถือโอกาสนี้ไว้อาลัย George Michael มา ณ ที่นี้ด้วยครับ

=================================

โดยรวมแล้วหนังทำได้สนุกดีครับ ครบเครื่องสำหรับหนังแนวนี้ และก่อนที่ผมจะเขียนถึงหนังเรื่องนี้ผมก็จัดแจงดูหนังซ้ำอีกรอบ ความชอบก็ยังอยู่ครับ ชอบภาพสวยๆ ที่ดูแล้วมันผ่อนคลายดี แล้วก็ยังคงชอบเรื่องราวที่มาพร้อมแง่คิดดีๆ คาดว่าผมคงดูซ้ำอีกเมื่อมีโอกาสน่ะครับ

เอาเป็นว่าใครชอบหนังรักหรือหนังคริสต์มาส ก็อยากให้ลองดูกันครับ

สองดาวครึ่งครับ

Star22

(7/10)