Dudley Do-Right (1999) ดั๊ดลี่ย์ ฮีโร่ติงต๊อง

Untitiled04628

Brendan Fraser นั้นแจ้งเกิดแบบเต็มๆ ตอนเล่น George of the Jungle ครับ เรื่องนั้นทำเงินไปร้อยกว่าล้านส่วนสำคัญก็ด้วยลีลาการแสดงแบบซื่อทื่อแบ้วต๊องซึ่งพี่แกก็เล่นได้ดีจริงๆ ล่ะครับ

ทีนี้หนังเรื่องนี้ก็ถูกสร้างขึ้นมาส่วนหนึ่งก็เพื่อตามรอยความสำเร็จของ George of the Jungle เพราะดึง Fraser มาเล่น และหนังก็ดัดแปลงมาจากการ์ตูนของ Jay Ward ที่เป็นคนเขียน George of the Jungle นั่นแหละ

Freaser มาเป็นดั๊ดลี่ย์ ดูไรท์ เจ้าหน้าที่รักษากฎหมายแคนาดาที่แสนจะซื่อและติงต๊อง โดยเขาต้องรับมือวายร้ายที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กอย่าง สนิดลี่ย์ วิปแลช (Alfred Molina) ที่มาพร้อมแผนเหนือเมฆที่นอกจากจะทำเงินทำทองให้ตนแล้ว ยังสามารถทำให้ดั๊ดลี่ย์ต้องโดนไล่ออกจากงานอีกต่างหาก

สไตล์หนังจริงๆ มาทางเดียวกับ George เลยครับ ตัวเอกซื่อๆ บื้อๆ โทนหนังแบบการ์ตูน มีคนบรรยายประกอบการเล่าเรื่องตลอด ตัวละครก็การ์ตูนสุดๆ คิดว่าทีมงานคงกะให้มันทำเงินเข้าป้ายร้อยล้านแบบ George นั่นแหละ

แต่หนังล่มครับ ล่มมหากาฬเลยด้วย ปิดโปรแกรมไปที่ $9.9 ล้าน ในขณะที่เงินทุนน่ะปาไป $70 ล้าน ซึ่งมากกว่า George อีกครับ (เรื่องนั้นลงไปแค่ $55 ล้านเอง)

ถ้าถามว่าทำไมหนังถึงล่มและสนุกน้อยกว่า George ทั้งที่มาตามสูตรเดียวกัน อย่างแรกเลยก็คือหนังต๊องแบบมหาต๊องจนเกินไปน่ะครับ อย่างใน George แม้จะต๊องและดูการ์ตูนแค่ไหน แต่มันยังมีพล็อต มีทิศทาง จังหวะการเล่นมุกมันยังโอเค และแม้ตัวเอกจะซื่อแต่ก็มาพร้อมความน่ารักและมันเป็นความซื่อที่พอเข้าใจได้ (เพราะจอร์จมาจากป่า เขาเลยไม่เข้าใจความเป็นคนเมือง)

แต่กับเรื่องนี้ดั๊ดลี่ย์ไม่ได้มาจากป่าแต่อย่างใดครับ เขาก็คนปกตินี่แหละ แต่ต๊องเกิน ไร้สมองเกิน และไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น ตัวละครอื่นๆ ก็ยังต๊องไปด้วยอย่าง เนลล์ (Sarah Jessica Parker) นางเอกของเรื่องก็ดูไร้สมองเกินพอกัน ซึ่งจะต่างกับใน George ที่เรื่องนั้นนางเอกก็เป็นคนธรรมดา ไม่ได้ต๊องหรือบื้ออะไร เลยทำให้การเข้าคู่ระหว่างจอร์จและนางเอกมันดูตัดกันแบบพอดีๆ แต่กับเรื่องนี้พระเอกก็ต๊อง นางเอกก็ต๊อง คนอื่นก็พากันต๊องหมด คือถ้ามันแค่ชั่วครั้งคราวมันยังพอไหวน่ะครับ แต่นี่เป็นกันทั้งเรื่องเลย มันเลยออกแนวน่ารำคาญเสียมากกว่า

Untitiled04629

ไปๆ มาๆ ตัวละครที่ผมชอบสุดกลายเป็นสนิดลี่ย์นี่แหละครับ พี่แกดูเป็นตัวการ์ตูน แต่ต๊องน้อยที่สุดแล้ว ยอมรับเลยว่าการแสดงของ Molina เป็นหนึ่งในสิ่งที่ทำให้ผมยังตามดูหนังต่อจนจบน่ะครับ

ยอมรับว่าผมเพิ่งรู้ทุนสร้างหนังตอนดูนี่แหละครับ ก็อ้าปากค้างเหมือนกัน คือ $70 ล้านเลย (ในขณะที่ The Mummy น่ะ $80 ล้านครับ นี่เกือบจะเท่ากันเลยนะนั่น) ซึ่งจริงๆ ก็พอเข้าใจนะครับ หนังคงลงทุนไปกับฉากที่ถือว่ามีหลายฉากอยู่ และแต่ละฉากตัวละครประกอบก็เยอะด้วย บางฉากเป็นงานรื่นเริง หรือฉากในเมืองบางฉากก็มีการตกแต่งเยอะเหมือนกัน แต่เผอิญว่าฉากเหล่านั้นแม้จะใหญ่และมีหลายฉากและดูลงทุนก็เถอะ แต่มันไม่ได้ดูโดดเด่นน่ะครับ เพราะมันไม่ใช่ฉากที่เน้นจินตนาการหรือดูแฟนตาซีจนเตะตา จนถ้าใครไม่สังเกตนี่อาจจะไม่รู้สึกเลยว่าหนังลงทุน ใจหนึ่งก็แอบเห็นใจทีมงานเหมือนกันครับ แต่อีกใจก็ได้แต่ทำใจเพราะมันช่วยอะไรไม่ได้จริงๆ

ตัวหนังยาวแค่ 77 นาทีครับ ซึ่งอาจเพราะมันไม่ยาวมากผมเลยไม่รู้สึกว่ามันน่าเบื่อ (จริงๆ คือเกือบๆ เหมือนกันครับ แต่ยังไม่ถึงกับเบื่อ) คือมันยังพอดูได้ แต่ก็ไม่ได้สนุกหรือเพลินอะไรมาก

ว่าแบบตรงๆ ก็คือหนังเรื่องนี้ไม่ดูก็ไม่เป็นไรครับ

ดาวเดียวครับ

Star11

(4/10)