Bring It On: Worldwide #Cheersmack (2017)

24232141_1848016981895761_5046495511222657013_n

ระหว่างดูเรื่องนี้มันมีอะไรหลายอย่างผุดขึ้นมาในหัวครับ ดังนั้นสิ่งที่ผมเขียนนี่อาจจะเกี่ยวกับหนังแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น นอกนั้นก็เป็นสารพัดห้วงความคิดที่โผล่มา… ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะเรียกว่าดูแล้วเกิดความคิดหรือดูแล้วใจลอยไปคิดเรื่องอื่นกันแน่

นี่ก็ถือเป็นตอนที่ 6 ของหนังชุด Bring it On แล้วครับ ซึ่งจะเรียกว่าเป็นภาคต่อก็คงไม่เชิง เพราะมันเหมือนทำออกมาโดยเอาชื่อ Bring it On มาปะที่หัว แบบเดียวกับ American Pie ที่มีช่วงหนึ่งทำออกมาเพียบเชียว

เรื่องก็ตามสูตรครับ กลุ่มเชียร์ลีดเดอร์นำโดย เดสตินี่ (Cristine Prosperi) ต้องพยายามทำให้กลุ่มเชียร์ของเธอไปให้ถึงฝั่งฝัน ซึ่งก็แน่นอนว่ามันต้องมีอุปสรรคทั้งจากคู่แข่ง จากเพื่อนร่วมทีม และเหนืออื่นใดคือ “จากตัวเธอเอง”

พูดแบบไม่อ้อมค้อมคือผมชอบภาคแรกสุดครับ ต้องบอกว่าชอบแบบไม่คาดฝันด้วย จำได้เลยตอนดูไม่คาดหวังอะไรทั้งนั้น คิดว่าเป็นหนังวัยรุ่นที่ทำๆ ออกมาตามแห่ American Pie แต่ไปๆ มาๆ หนังแฝงไว้ด้วยอารมณ์ Feel Good และเรียกรอยยิ้มเราได้เกือบทั้งเรื่อง

ภาคนี้ก็มาตามสูตรอย่างที่บอกครับ แต่พลังดาราถือว่าไม่มาก อันนี้ผมไม่พูดถึงเรื่องทุนสร้างหรืองานสร้างนะครับ เพราะรู้ว่าเป็นหนังลงแผ่น เลยไม่คาดหวังอะไรพวกนี้อยู่แล้ว แต่พอพลังดาราไม่ค่อยมี ความน่าสนใจของหนังเลยไม่ค่อยมากตามไปด้วย

จริงๆ เนื้อเรื่องมันเข้าสูตร “สู้เพื่อฝัน” ที่ตัวเองต้องมีฝัน อยากทำอะไรสักอย่างให้สำเร็จ แต่เนื่องจากความฝันมันไม่เคยง่าย เขาหรือเธอเลยต้องสู้ ต้องพยายาม หนังก็เดินเรื่องบนพล็อตนั้นแหละครับ แต่การเดินเรื่องมันออกแนวเรื่อยๆ ดาราก็เรื่อยๆ สุดท้ายทุกอย่างมันเลยเรื่อยๆ และราบๆ ไปในที่สุด

ยิ่งมาดูเรื่องนี้หลังจากดู Let’s Go Jets ก็ยิ่งไปกันใหญ่เลยครับ คนละลีคคนละลู่โดยสิ้นเชิง เรื่องนั้นมันเจ๋ง สนุก ประทับใจกว่ากันมาก ทั้งที่เรื่องราวมันว่าด้วยการตามฝันของเชียร์ลีดเดอร์เหมือนกัน แต่การนำเสนอ การเล่าเรื่อง และอะไรหลายๆ อย่างมันต่างกันจริงๆ

ระหว่างดูก็คิดน่ะครับ ว่านี่เป็นหนังของค่าย Universal ที่ชอบทำหนังภาคต่อลงแผ่นโดยแกะความสำเร็จจากหนังต้นฉบับ นอกจากเรื่องนี้ก็ยังมีพวก American Pie, Dragonheart, The Scorpion King และอีกหลายเรื่อง แต่คุณภาพสู้ภาคแรกไม่ได้ ส่วนใหญ่ทำออกมาป้อนตลาดเป็นหลัก

ที่ผมคิดถึงเรื่องนี้ก็เพราะ ในบางโมเมนท์ของหนังมันทำให้ผมนึกถึง Pitch Perfect ครับ นี่ยังคิดเลยว่าพอ PP จบภาค 3 แล้ว จะมีการทำภาคต่อลงแผ่นออกมาแบบนี้ไหมเนี่ย… สารภาพว่าแอบกลัวเหมือนกันน่ะนะครับ เพราะรู้เลยว่าถ้าทำเนี่ย มันยากจะออกมาดีได้จริงๆ

แต่ผมก็พอเข้าใจน่ะนะครับ ทำหนังมันคือทำธุรกิจ โดยหลักมันก็ต้องหวังกำไร ต้องทำให้บริษัทอยู่ได้ เพียงแต่ในใจลึกๆ ก็มีคำถามน่ะครับว่า มันจะเป็นไปได้ไหมหากธุรกิจกับการทำหนังให้ออกมาดี ออกมาสนุก มันจะไปด้วยกันได้ แบบไม่ต้องเลือกทางใดทางหนึ่งแบบสุดทาง ประเภทถ้าหวังกำไร แต่ลืมคุณภาพ หรือเน้นคุณภาพ แต่หนังไม่มีใครดู อะไรแบบนี้น่ะครับ

แล้วเราก็กลับมาที่หนังอีกครั้ง จริงที่หนังไม่ได้เด็ดเท่าภาคก่อนๆ แต่สาระชวนคิดก็ยังเก็บไปคิดได้ครับ อย่างแรกเลยคือเวลาเราจะทำอะไรนั้น มันต้องมีอุปสรรคเสมอ อันนี้เราต้องตั้งท่ารอรับได้เลยครับ อย่าคิดว่าทุกอย่างมันจะชิลล์ ขอเพียงเราไม่ประมาท ทำอะไรด้วยสติ และรู้จักชะลอตัวเองบ้างยามเจอปัญหา อย่าใจร้อน เท่านี้มันก็จะบรรเทาความหนักของอุปสรรคที่เจอไปได้ในระดับหนึ่ง

อีกอย่างคือ เราต้องเปิดใจยอมรับคนอื่นๆ บ้างครับ อย่าคิดว่าเราเก่งสุด อย่าคิดว่าความคิดของเราจะดีที่สุด เราต้องลองรับฟังความเห็นมุมอื่นๆ บ้าง เพราะบางครั้งคนอื่นก็จะเห็นในสิ่งที่เราพลาดไป ซึ่งนั่นจะทำให้เราทำอะไรได้ตรงเป้ายิ่งขึ้นกว่าเดิม

หนังสนุกหรือไม่ก็เรื่องหนึ่งครับ แต่หากเราได้อะไรติดหัวกลับมาหลังดูเสร็จ ก็ถือว่าเราได้กำไรครับ ^_^

ดาวเดียวครับ

Star11

(4/10)