ไม่นึกเหมือนกันนะครับว่าหนังจะเดินมาถึงภาค 3 และถ้ามองในแง่รายได้แล้วก็ถือว่าหนังทำเงินในระดับที่น่าพอใจทุกภาคด้วย
หนนี้ไมค์ แบนนิ่ง (Gerard Butler) โดนจัดฉากใส่ความว่าวางแผนลอบสังหารท่านประธานาธิบดี (Morgan Freeman) แต่แน่นอนครับว่าเขาไม่ได้ทำ ก็เลยต้องหลบหนีจากการตามล่าของทางการและหาทางพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนให้ได้
หนังลงสูตรสำเร็จของภาคต่อตอนที่ 3 ที่หนังหลายๆ เรื่องเดินตามครับ นั่นคือกำหนดให้ตัวเอกโดนใส่ความ จำได้เลยว่า Taken 3 กับ คนคมโค่นพายุ 3 ก็มามุกนี้ (และสังหรณ์ว่าเดี๋ยวคงมีหนังภาค 3 สักเรื่องเดินตามสูตรนี้อีกแหงมๆ) ก็เป็นอะไรที่เดิมๆ อยู่น่ะนะครับ แต่จะว่าไปตัวหนังก็จัดว่าเวิร์กอยู่ ในความคิดผมนี่อย่างน้อยหนังเรื่องนี้ก็ดูเพลินกว่า 2 เรื่องที่ผมเอ่ยไป
หนังจัดว่าดูได้เรื่อยๆ ครับ ตอนต้นเปิดเรื่องก็อาจเรื่อยๆ ตามสูตร แต่พอถึงฉากท่านประธานาธิบดีโดนถล่มก็ทำออกมาได้ตูมตามสาแก่ใจใช่เล่น แล้วจากนั้นเหตุการณ์ระหว่างทางก็คือการหลบหนีการจับกุมของไมค์ซึ่งก็จัดว่าไม่เลวครับสำหรับหนังแอ็กชันแนวนี้ เพราะไมค์ต้องหนีอยู่ตลอด ไม่ค่อยมีช่วงให้ผ่อนสักเท่าไร คนดูเลยมีอะไรให้ตามดูบนจอไปเรื่อยๆ ไม่ค่อยน่าเบื่อ
แต่หากใครดูหนังแนวนี้มาเยอะจนเอียนหรือเดาทางได้หมดแล้ว ก็อาจจะเบื่อได้ครับ เพราะในแง่หนึ่งแล้วหนังก็ไม่ได้มีอะไรใหม่มานำเสนอเหมือนกัน
นั่นล่ะครับ Angel Has Fallen ไล่ล่าสลับตูมตามไปจนจบ มันอาจไม่ใช่หนังแอ็กชันไล่ล่าที่มันส์สุดยอด แต่ก็ถือว่าดูได้เรื่อยๆ มันอาจไม่สนุกเท่าภาคแรก แต่อย่างน้อยก็จัดว่าเวิร์กกว่าภาค 2 ครับ
ส่วนตัวแล้วไม่ค่อยจะผิดหวังกับหนังครับ เพราะก็กะแล้วว่ามันคงประมาณนี้แหละ คือดูได้เพลินๆ มีฉากตูมตามให้เร้าใจบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับน่าติดตามสุดเดช หากพูดถึงหนังแนวนี้ (ประเภทตัวเอกโดนใส่ความแล้วหนี) ต้องยกให้ The Fugitive ครับ เรื่องนั้นเข้มข้น ตื่นเต้น เมามันส์แบบสุดๆ
ดาราที่แสดงกันมาจนครบ 3 ภาคก็มีเพียง Gerard Butler กับ Morgan Freeman ครับ ซึ่งทั้งคู่ก็แสดงได้สบายๆ อยู่แล้ว โดยเฉพาะรายหลังที่ไม่ต้องทำอะไรมาก แต่บารมีก็เยอะตามเคย (Freeman ออกมาให้สัมภาษณ์แบบเปิดตรงไปตรงมาว่าที่เขามาแสดงเรื่องนี้ก็เพื่อรับทรัพย์ครับ 555) ส่วนบทภรรยาของไมค์ก็เปลี่ยนเป็น Piper Perabo มาแสดงแทน รายนี้ก็แสดงได้โอเคไม่มีปัญหา
Danny Huston ก็เหมาะกับบทแบบนี้ครับ จริงๆ ส่วนมากเขาก็จะเล่นบทแบบนี้เป็นหลัก เล่นจนเป็นภาพลักษณ์ประจำไปแล้ว ที่ชอบอีกอย่างคือบทของเขาดูมีศักดิ์ศรีเจืออยู่ในระดับหนึ่งด้วย ในขณะที่ Nick Nolte ก็สบายๆ กับบทพ่อของไมค์ รายนี้ชูรสได้ไม่เลวครับ และที่สำคัญคือไม่ได้ดูเวิ่นเว้อหรือน่ารำคาญแต่อย่างใด
แต่พูดก็พูดเถอะครับว่าหนังมีจุดที่แอบน่ารำคาญหน่อยๆ คือบทเจ้าหน้าที่เอฟบีไอทอมป์สัน (Jada Pinkett Smith) รายนี้ดูเป็นเจ้าหน้าที่ที่อ่อนมาก ไม่ฉลาดเท่าไร เหมือนตามเกมใครไม่ใคร่จะทัน โดนล่อโดนหลอกให้ไปซ้ายขวาอย่างง่ายๆ และยังพาตัวเองไปเจออันตรายอีกต่างหาก อันนี้ที่บ่นๆ นี่ผมพูดถึงคาแรคเตอร์ตัวละครนะครับ แต่ในแง่การแสดงแล้ว Smith ก็ทำหน้าที่ได้โอเคตามสไตล์นั่นแหละ
หนังใช้ทุนไปประมาณ $40 ล้านครับ ซึ่งถือว่าน้อยกว่าภาคก่อนๆ (ภาคแรก $70 ล้าน ส่วนภาค 2 $60 ล้านครับ) แต่หนังก็สามารถเนรมิตฉากบู๊ระเบิดระเบ้อได้ตั้งหลายฉาก เรียกว่าทำได้คุ้มทุนดีทีเดียวครับ อันนี้ผมชื่นชมนะ เพราะหนังหลายๆ เรื่องใช้ทุนมากกว่านี้แต่ยังทำฉากแอ็กชันหรือฉากตูมตามได้ไม่เวิร์กเท่านี้เลย – ยอมรับเลยครับว่าพอทราบเรื่องทุนสร้างแล้วทำให้ผมรู้สึกบวกกับหนังมากขึ้นอีกพอสมควร อย่างที่บอกน่ะครับว่ารู้สึกชื่นชม
ในแง่รายได้แล้วหนังทำเงินทั่วโลกไป $147 ล้านครับ อาจจะน้อยกว่าทุกภาคแต่ก็ถือว่าทำกำไรไม่เลวครับ
ครับ สรุปคือหนังภาคนี้ทำได้โอเค ฉากระเบิดระเบ้อทำได้ตูมตามสะใจดี ตอนท้ายช่วงไคลแม็กซ์ก็ถือว่ามันส์ใช้ได้ (ซึ่งจะต่างจากภาค 2 ตรงที่มันส์ในครึ่งแรก แต่มาแผ่วในครึ่งหลัง) ก็ถือเป็นการปิดไตรภาคที่ดีครับ (แต่มันจะปิดจริงๆ แล้วใช่ไหมเนี่ย 555)
สองดาวกว่าครับ
(6.5/10)