Look Both Ways (2022) สองทาง

Untitled08261

สิ่งแรกที่ต้องบอกไว้ก่อนแบบจริงใจเลยก็คือ ที่ผมกำลังจะพูดเกี่ยวกับหนัง Look Both Ways นี้ ไม่มีความเป็นกลางครับ เพราะผมตกหลุมรักหนังเรื่องนี้เข้าจังเบ้อเร่อเลยล่ะ

มีหนังอยู่แนวหนึ่งที่จริงๆ ผมชอบมาก แต่เนื่องด้วยไม่ค่อยมีหนังแนวนี้ออกมาสักเท่าไร ผมเลยมักจะลืมนึกถึงไป นั่นคือหนังแนว What If ครับ หนังที่เล่าเรื่องราวคู่ขนานประมาณว่า ถ้าคุณเลือกแบบนี้ชีวิตก็จะไปทางนี้ แต่ถ้าเลือกอีกแบบชีวิตก็จะไปอีกทาง แบบเรื่อง Sliding Doors น่ะครับ

และเรื่องนี้ก็เป็นแนวนั้นแบบเต็มๆ กับเรื่องของนาตาลี (Lili Reinhart) สาวน้อยที่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเพื่อนสนิทที่ชื่อเก้บ (Danny Ramirez) แล้วหนังก็ดำเนินไปถึงทางแยกครับ ทางหนึ่งก็คือจะเป็นอย่างไรถ้านาตาลีเกิดท้อง? และอีกทางคือถ้าเธอไม่ท้องแล้วชีวิตเธอจะเป็นอย่างไร?

ว่าตามจริงหนังอาจไม่ได้สมบูรณ์แบบไปเสียทั้งหมดน่ะนะครับ แต่มันโดนใจผม โดนดอกแรกเลยคือหนังเป็นแนว What If แบบที่ผมโหยหา แล้วการเดินเรื่องก็ดำเนินไปอย่างพอเหมาะ เล่าเรื่องได้ชวนติดตามดี ดูไปแล้วมันอยากดูต่อว่าแล้วชีวิตของเธอจะเป็นอย่างไรต่อไป อยากรู้มันทั้งสองเส้นทางเลยน่ะครับ

อีกอย่างที่ต้องบอกคือหนังออกมาในโทน Feel Good ครับ เป็นเรื่องในเชิงบวก ดูแล้วสบายใจ ดังนั้นท่านที่อยากดูหนังแบบ Feel Real ก็อาจมองว่าหนังโลกสวยไปสักนิดหนึ่ง – ดังนั้นถ้าใครอยากได้หนังดราม่าแบบหนักๆ ก็คงไม่ใช่เรื่องนี้ครับ เพราะเรื่องนี้โทนออกมาอบอุ่น ดูแล้วได้แรงใจ ได้รอยยิ้ม และได้พลังบวก – ซึ่งมันเป็นอะไรที่เข้าทางผมพอดี

จุดต่อมาที่ชอบก็ยกให้การแสดงของ Reinhart ครับ เธอน่ารัก สดใส และสื่ออารมณ์ได้ดี ผมรู้สึกว่าเธอฉายเสน่ห์มากๆ ใครชอบเธอจาก Riverdale ก็น่าจะตามมาชอบเธอต่อในเรื่องนี้น่ะครับ ในขณะที่ดารารายอื่นๆ ก็เสริมเรื่องราวได้อย่างพอเหมาะ โดยเฉพาะ Luke Wilson และ Andrea Savage ที่รับบทพ่อแม่ของนาตาลี 2 รายนี้เพิ่มเสียงฮาได้ในหลายวาระ และเพิ่มความอบอุ่นได้ในหลายช่วงตอน

Untitled08262

ผมดูหนังอย่างมีความสุขครับ นอกจากแนวเรื่องมันเข้าทาง และโทนเรื่องมันใช่ แล้วรายละเอียดปลีกย่อยในเรื่องมันก็ทำให้มนุษย์วัยกลางคนที่ลูกเริ่มโตแล้วอย่างผม ย้อนคิดไปถึงวันเก่าๆ  อย่างการที่นาตาลีกับเก้บอ่านสารพัดตำราที่แนะนำเกี่ยวกับการเลี้ยงลูก แล้วก็พบว่ามันมีร้อยวิธีล้านแนวทางจนไม่รู้ว่าจะเลือกเชื่ออันไหน ต่างตำราก็ว่าต่างกันไป เชื่อว่าหลายคนตอนเป็นพ่อแม่มือใหม่ก็คงเคยผ่านช่วงสับสนอะไรแบบนี้กันมาแล้ว พอเห็นในเรื่องก็เลยอดหัวเราะไม่ได้ – ซึ่งสำหรับเรื่องนี้นั้น เมื่อเราเป็นพ่อแม่ไปจนถึงจุดหนึ่ง เราก็จะค้นจนเจอวิธีในแบบของเรานั่นแหละครับ ซึ่งมันอาจแหวกตำราไปห้าล้านไมล์เลยก็ได้

หรือยามที่เราเป็นพ่อแม่ ยามนั้นเราก็ต้องยอมรับว่า ชีวิตบางมิติของเราจะต้องเปลี่ยนไป อะไรที่เคยคิด เคยฝัน เคยหวัง เคยวางแผนไว้ มันอาจไม่เป็นไปตามนั้น เราอาจต้องโบกมืออำลาบางส่วนของตัวเราในวันวาน – บางเวลาเราก็อาจนั่งเสียใจกับเรื่องนี้ ฯลฯ เชื่อว่าใครที่เคยผ่านประสบการณ์แบบนี้มา ก็คง Touch กับอารมณ์ของหนังไม่มากก็น้อยล่ะครับ

แต่กระนั้น แม้การมีลูกจะต้องแลกด้วยบางสิ่ง แต่บางอย่างที่เราได้มาก็มีคุณค่าหาน้อยไม่ ไม่ว่าจะการได้รู้จักตนเองผ่านการดูแลลูก การได้เรียนรู้ถึงความรับผิดชอบ การแบ่งสรรจัดเวลา การจัดลำดับความสำคัญสิ่งต่างๆ ในชีวิต และสำหรับคนที่มีลูกอย่างผม การได้มองเขาเติบโต ได้เห็นจอมซนตัวน้อยกลายเป็นจอมซนตัวใหญ่ มันคืออะไรที่มากกว่าความสุข มันคือสิ่งสวยงามที่ยากจะหาอะไรมาเทียบได้ – และลูกของนาตาลีในเรื่องก็ถือว่าแคสมาได้เหมาะครับ ยิ่งตอนโตนี่น่ารักมากๆ

และสิ่งหนึ่งที่หนังบอกกับเราก็คือ แม้ชีวิตจะไม่เป็นไปตามแผนเสียทั้งหมด แต่หากเรายังมีความพยายาม หากเรายังมุ่งมั่น หากเรายังตั้งหลักได้ ไม่ปล่อยให้ตัวล้มใจล้มในวันที่ฟ้าหม่น ก็ไม่แน่ครับว่าสักวันเราอาจจะค้นพบที่ทางของเราเอง

มันอาจไม่เหมือนกับที่เราวาดภาพไว้ทั้งหมด แต่อย่างน้อยเราก็จะเจอพื้นที่ที่สามารถเป็นตัวเราได้ สามารถทำตามความฝันได้ หรือไม่ก็เจอจุดสมดุลระหว่างชีวิตที่เป็นอยู่กับชีวิตที่เราอยากให้มันเป็น – แต่กว่าจะไปถึงจุดนั้นได้ เราก็อาจหมดแรงซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหมือนว่ายน้ำข้ามทะเลแบบไม่รู้ว่าจะถึงฝั่งเมื่อไร ซึ่งผมก็อยากบอกว่า ไม่ใช่แค่เราครับที่เจออะไรแบบนั้น หลายคนก็เคยเจอเหมือนกัน – ก็ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคนที่เผชิญกับเรื่องเหล่านี้อยู่นะครับ

หนังเขียนบทโดย April Prosser ที่เพิ่งมีผลงานบทหนังแบบเต็มตัวเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก แต่ก่อนหน้าเธอก็เคยเป็นผู้ช่วยเขียนบทซีรี่ส์ Charmed มาก่อน ซึ่งผมเดาได้อย่างหนึ่งว่าเธอคงเป็นนักสังเกตชีวิตคนหนึ่งล่ะครับ ถึงสามารถจับเอารายละเอียดรวมถึงประเด็นหลายอย่างของชีวิตคนมาบอกเล่าได้แบบนี้ แม้จะเป็นประเด็นง่ายๆ แต่ก็หยิบมาใส่ลงในหนังได้ค่อนข้างโดนทีเดียว

Untitled08263

ส่วนหน้าที่กำกับเป็นของ Wanuri Kahiu ผู้กำกับหญิงชาวเคนยา รายนี้ก็เป็นนักสังเกตชีวิตอีกคนเหมือนกันครับ ผลงานหนังยาวเรื่องแรกของเธออย่าง From a Whisper ที่อิงจากเหตุการณ์จริงตอนมีการวางระเบิดสถานทูตอเมริกาในเคนยาและแทนซาเนียเมื่อปี 1998 ได้รับ 5 รางวัล African Movie Academy Award และผลงานก่อนหน้านี้อย่าง Rafiki ที่ว่าด้วยเรื่องของเพศทางเลือก ก็ทำให้เธอได้รางวัลจากหลายสถาบันเช่นกัน และเธอยังเคยขึ้นเวที TED Talk ด้วยครับ (มีลงใน Youtube ครับ ลองหาชมกันได้)

ผมชอบการเล่าเรื่องที่ชวนให้เราติดตามต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีช่วงอืดช้าหรือนิ่งเนิ่บจนเกินไป แต่ละช่วงแต่ละตอนจะมีอะไรให้เราตามดูต่อ แล้วที่สำคัญคือหนังทำให้เราอยากรู้น่ะครับ ว่าชีวิตช่วงต่อไปนาตาลีจะเจอกับอะไร และมันจะพาเธอไปสู่จุดไหน เรียกว่าทั้งดาราและการเล่าเรื่องต่างก็ชวนให้เราตามเรื่องต่อไปจนจบ อีกอย่างคือจังหวะของหนังมันบิ้วอารมณ์ในแต่ละโมเมนต์ได้ดีน่ะครับ เช่น โมเมนต์ที่เราดูแล้วรู้เลยว่าเดี๋ยวจะต้องมีการจูบกันแน่นอน บรรยากาศแวดล้อมมันก็จะโอบล้อมเราด้วยอารมณ์นั้นครับ จนบอกได้เลยว่าอารมณ์มันได้ที่จริงๆ

ผมชอบที่หนังเรื่องนี้ออกมา Feel Good ดูแล้วได้แรงใจในการดำเนินชีวิต จนบอกได้ว่าหากใครอยากดูหนังที่ได้แรงบันดาลใจล่ะก็ เรื่องนี้ถือเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวครับ ยิ่งใครกำลังเหนื่อยล้า ท้อแท้ หนังเรื่องนี้ก็เหมือนจะช่วยตบบ่าแตะไหล่เราเบาๆ ปลอบให้เราพักสักหน่อย แล้วค่อยหาทางก้าวต่อไป

ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่ผมเคารพชอบกล่าวว่า “สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นดีเสมอ” ในเชิงความหมายอาจไม่ได้สื่อให้เรามองทุกอย่างเป็นบวกทั้งหมดแบบหลับหูหลับตา แต่เป็นการบอกตนเองให้ยอมรับในสิ่งที่เกิดไปแล้ว เพราะเราไม่อาจย้อนไปแก้ไขอะไรได้ อย่ามัวแต่หมกมุ่นคิดย้อนคิดซ้ำว่า “ถ้ารู้งี้น้า” หรือ “ถ้าย้อนเวลาไปได้นะ” เมื่อมันเกิดไปแล้ว เราทำได้เพียงดำเนินชีวิตในปัจจุบันต่อไปให้ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ อะไรพลาดไปก็ตั้งหลักใหม่ ใช้อดีตมาทบทวนเป็นบทเรียน ช่วยเสริมสร้างเราให้เติบโต – เหมือนต้นไม้ที่เติบใหญ่ได้ ส่วนหนึ่งก็ด้วยใบที่ร่วงหล่นลงมายังผืนดิน

ผมรู้สึกว่าหนังทำมาเพื่อผมครับ มันรู้สึกแบบนั้นจริงๆ นะ เพราะดูแล้วมันโดนจริตเราไปทุกอย่าง แล้วที่โดนอย่างแรงเลยคือตอนท้ายเรื่องครับ เอาล่ะ ผมกำลังจะสปอยล์แล้วนะครับ ไม่อยากทราบอย่าอ่านข้อความส่วนนี้ครับ

====================
====================
====================

ตอนท้ายเมื่อปมชีวิตรักของนาตาลีคลี่คลายแล้ว ปรากฏว่าชีวิตทั้ง 2 เส้นของเธอไปบรรจบในที่เดียวกันครับ คือที่ห้องน้ำที่เธอตรวจการตั้งครรภ์ อันเป็นจุดเริ่มต้นของทางแยก

นาตาลีจาก 2 ช่วงเวลา ค่อยๆ เดินเข้าไปในห้องน้ำแห่งนั้น แล้วเดินไปที่กระจก มองไปยังที่ที่เธอเคยนั่งรอผลตรวจการตั้งครรภ์ ที่เธอเคยสับสน เคยกลัว… แล้วพวกเธอก็พูดขึ้น อันเป็นการพูดกับตัวเองเมื่อวันนั้นว่า “มันจะโอเค”

จุดนี้ผมน้ำตาไหลเลยครับ ที่ไหลก็เพราะภาพที่เห็นในหนัง คือสิ่งที่ผมมักจะทำในชีวิตจริง… ใช่ครับ ผมมักจะแวะไปยังสถานที่ที่มีความหมายต่อผมเมื่อวันวาน เช่นสถานที่ที่เราเคยร้องไห้จะเป็นจะตายเพราะเรื่องบางเรื่อง (โดยเฉพาะเรื่องความรัก) หรือสถานที่ที่เราเคยนั่ง (หรือบางครั้งก็นอนกองกับพื้น) อย่างหมดแรง สับสน จนลุกขึ้นไม่ไหว และไม่แน่ใจว่าวันต่อไปเราจะเจอกับเรื่องบ้าๆ อะไรอีกไหม

ผมแวะไปยังสถานที่เหล่านั้น มองสำรวจโดยรอบว่ามันเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยเพียงไร และเมื่อถึงจุดหนึ่งผมจะมองไปยังจุดที่ผมเคยนั่งเสียใจ เคยนั่งร้องไห้ หรือนั่งสับสน แล้วพูดขึ้นว่า “ไม่เป็นไร แล้วมันจะดีเอง” หรือ “แล้วมันจะโอเค ทนหน่อยนะ”

คงเพราะแบบนั้นน่ะครับ ฉากที่ว่าเลยโดนใจผมแบบโครมใหญ่ จนอดไม่ได้ที่น้ำตาจะไหลออกมาแบบอัตโนมัติ… มันก็คงไม่บ่อยน่ะนะครับ ที่เราจะได้เห็นฉากในหนังที่มันบังเอิญมาตรงกับฉากชีวิตเราได้ถึงเพียงนี้ – ไม่โดนไม่ได้แล้วล่ะครับ

====================
====================
====================

Untitled08265

สิ่งหนึ่งที่ผมอยากบอกเอาไว้ก็คือ เราตบบ่าตัวเองได้นะครับ ปลอบใจตัวเองได้ ให้กำลังใจตัวเองได้ – ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยแม้แต่น้อย – จริงครับ ที่หากเรามีเพื่อนคุย มีคนให้กำลังใจนั่นก็ย่อมเป็นสิ่งดี แต่จริงๆ เราไม่ต้องรอให้ใครมาปลอบเสมอไปหรอกครับ เพราะเราคือคนที่อยู่กับตัวเรานานที่สุดในชีวิตแล้วล่ะ ดังนั้นมันก็คงไม่เลว หากเราจะฝึกตนให้พึ่งพาตนเอง ให้กำลังใจตนเอง หรือฉุดตัวเองขึ้นจากความบอบช้ำ – ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน – ตามนั้นครับ

ครับ หนังเรื่องนี้โดนใจผมในหลายภาคส่วน ทั้งแนวเรื่อง การแสดงน่ารักกำลังเหมาะของ Reinhart และดาราร่วมจอรายอื่น ตามด้วยรายละเอียดต่างๆ ในเรื่อง การเล่าเรื่อง และฉากสรุป – กระนั้นก็ผมมั่นใจว่าต้องมีคนเฉยๆ หรือไม่ชอบหนังเรื่องนี้ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาอย่างมากครับ มันเกิดขึ้นตลอดเวลานั่นแหละ

แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม ผมก็ยังอยากเชิญชวนให้ท่านลองดูหนังเรื่องนี้สักครั้งนะครับ – ถ้าลงเอยด้วยความไม่ชอบ ผมก็ต้องขออภัยที่ทำให้ท่านเสียเวลา แต่ผมจะเสียดายมากกว่าหากท่านอาจเป็นคนหนึ่งที่จะชอบหนังเรื่องนี้ แต่ผมกลับไม่ได้แนะนำชี้ชวนให้ท่านลองดูมันสักรอบ

สำหรับผม ผมชอบมากครับ มันถูกใจ โดนใจแบบพอเหมาะพอดี มันอาจไม่ใช่หนังที่ผมยกย่องว่าดีที่สุด แต่มันคือหนึ่งในหนังที่ถูกจริตและตรงใจผมที่สุด หนังมาพร้อมลีลาที่ถูกใจ จังหวะที่กำลังเหมาะ แม้แง่คิดอาจจะเดิมๆ แบบเราเคยทราบมาแล้วไม่รู้กี่รอบจากหนังหรือหนังสือต่างๆ แต่ผมเป็นคนชอบทบทวนเรียนรู้ครับ เพราะบางทีเราก็อาจลืมแง่คิดง่ายๆ เหล่านี้ไป การ์ดเราอาจตก หรือจิตเราอาจหลงระเริง เลยต้องคอยให้อะไรๆ แวะมาเตือนเพื่อที่จะได้ไม่ลืม

ในบางบริบท เราอาจเห็นแง่คิดเดิมๆ ในมุมมองใหม่ๆ หรือเราอาจเข้าใจมันได้อย่างชัดเจนลึกซึ้งยิ่งขึ้น หลังจากชีวิตผ่านประสบการณ์บางอย่างมาแล้ว – เหมือนเวลาเราฟังคนเขาเล่าเรื่อง กับเราไปประสบด้วยตัวเอง ความรู้สึกตื้นลึกหนาบางต่อเรื่องนั้นๆ ย่อมต่างกันไปครับ

… สิ่งที่ผมทำระหว่างดู End Credits ก็คือ ลุกขึ้นจากโซฟาที่ผมนั่ง เดินเข้าไปใกล้จอทีวีทีละนิด สูดลมหายใจด้วยความรู้สึกดีๆ… แล้วหันไปมองโซฟาที่ผมนั่งเมื่อครู่ ย้อนนึกไปถึงเมื่อเกือบสองชั่วโมงก่อนหน้า ในนาทีที่เรากำลังคิดว่า “จะดูหนังเรื่องนี้ดีไหมหว่า?”

… ผมบอกกับตัวเองว่า “ดูเลย นี่คือหนังที่สร้างมาเพื่อเรา”

แล้วผมก็เดินมาที่คอมพิวเตอร์ เพื่อพิมพ์เล่าสิ่งที่ผมรู้สึกทั้งหมดนี้ ลงบันทึกไว้ที่นี่… ด้วยความรู้สึกอิ่มเอมแบบที่ไม่ได้รู้สึกมานานพักหนึ่งแล้ว…

สองดาวสามส่วนสี่ดวงครับ

Star22

(7.5/10)