Color Out of Space อาจไม่ได้สมบูรณ์แบบเต็มร้อยน่ะนะครับ แต่สำหรับผม (ซึ่งชื่นชอบงานของ H. P. Lovecraft มากๆ) ขอบอกเลยครับว่าอะไรแบบนี้แหละที่ผมอยากเห็นบนจอมานานแล้ว
หนังดัดแปลงจากเรื่องสั้นที่ Lovecraft เขียนไว้เมื่อปี 1927 ครับ ซึ่งก็มีการดัดแปลงอะไรบางอย่างเพื่อให้เข้ากับสมัยปัจจุบัน แต่โดยรวมแล้วก็ยังคงเรื่องราวเอาไว้ นั่นคือการบอกเล่าชะตากรรมของครอบครัวการ์ดเนอร์ที่เจอกับเรื่องสุดสะพรึงหลังจากมีอุกกาบาตสีประหลาดตกลงมาในเขตบ้านของพวกเขา
ความรู้สึกที่เกิดขึ้นหลังดูจบก็อย่างที่บอกไปน่ะครับ ผมชอบในสิ่งที่หนังนำเสนอ หนังสามารถถ่ายทอดเรื่องราวแปลกประหลาด บ้าคลั่ง หลอนๆ แฝงความวิปริตบิดเบี้ยวและสยองขวัญได้อย่างพอเหมาะ โดยอาจมีบางช่วงที่อืดช้าบ้างในตอนต้นๆ กับกลางๆ แต่เมื่อถึงเวลาที่ “สี” ออกฤทธิ์ออกเดช หนังก็สามารถเนรมิต “สี” ให้ดูน่ากลัวแล้วก็สวยงามไปในเวลาเดียวกัน
เรื่องเทคนิค CG ถือว่าทำออกมาได้ดีครับ โดยเฉพาะ “สีประหลาด” ที่ออกชมพูอมม่วงนั่นก็สร้างความสะพรึงได้อย่างน่าพอใจ หรืออย่างตอนที่สิ่งแวดล้อมแถบนั้นสีค่อยๆ เปลี่ยนไปก็ถือว่าทำออกมาได้สวยผสมน่าขนลุก ได้กลิ่นอายไซไฟสยองขวัญแบบที่ควรจะเป็นน่ะครับ
ถ้าจะมองหาเหตุผลกับหนังเรื่องนี้ ก็คงต้องบอกว่าหนังมันมีเหตุผลในแบบ Lovecraft ครับ เป็นเหตุผลที่มาพร้อมจินตนาการแบบจัดเต็ม อันนี้หากมองในแง่ของสไตล์เรื่องและจินตนาการของ Lovecraft แล้ว หนังจัดว่าครบเครื่องไม่น้อย เพราะโดยทั่วไปแล้วเรื่องราวของ Lovecraft จะนำพาเราไปสัมผัสกับ “สิ่งที่เรายังไม่รู้” (Unknown) ครับ ซึ่งหนังก็บอกเล่าในส่วนนี้ได้น่าพอใจ ทั้งพาเราไปเจอกับ สีสันประหลาด พาเราไปเจอกับการตอบสนองของมนุษย์โลกต่อสิ่งเหล่านี้ ดูแล้วมันก็สะท้อนมิติของมนุษย์ได้พอสมควร
ฉบับหนังนี่ถือว่ามีความพยายามในการอธิบายเกี่ยวกับ “สีจากอวกาศ” เหล่านี้เพิ่มเติมจากฉบับเรื่องสั้น เรียกว่าคนทำก็พยายามครับที่จะบอกกับเราให้เข้าใจสิ่งที่เห็นตรงหน้าให้มากเท่าที่จะทำได้ แต่ก็ไม่ได้บอกมากเกินจนทำให้หนังเสียกระบวนแต่อย่างใด
ในแง่การแสดงก็ถือว่าเวิร์กครับ พี่ Nicolas Cage ถือว่าน่าพอใจกับบทเนธาน หัวหน้าครอบครัวที่พยายามทำหน้าที่พ่อและสามีให้ดีที่สุด แต่แล้วการมาของสีประหลาดก็ทำให้ชีวิตครอบครัวของเขาต้องเปลี่ยนไปตลอดกาล ซึ่ง Cage ออกตัวครับว่าเขาอยากแสดงหนังที่ดัดแปลงจากงานของ Lovecraft มานานแล้ว เพราะพ่อของเขา August Coppola (ซึ่งเป็นพี่ชายของ Francis Ford Coppola) เป็นแฟนตัวยงของ Lovecraft ครับ ดังนั้นสำหรับเขาแล้วการแสดงครั้งนี้ก็เป็นการรำลึกถึงพ่อของเขาด้วย
Joely Richardson ในบทเทเรซ่าก็ดูโทรมและน่ากลัวสมกับบทอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะช่วงหลังๆ ที่เธอจะแสดงออกผ่านทางใบหน้าเป็นหลักซึ่งเธอก็ถ่ายทอดมันออกมาได้อย่างดี และยังน่าขนลุกอีกด้วย
Madeleine Arthur ในบทลาวิเนีย ลูกสาวของครอบครัวการ์ดเนอร์ที่ถือว่าอยู่ในวัยสับสน เธอหมกมุ่นกับพิธีกรรมเวทย์มนต์ต่างๆ ซึ่งเธอก็ถ่ายทอดบทสับสนที่ว่านี่ได้น่าพอใจครับ และ Elliot Knight ในบทวาร์ด ฟิลลิปส์ นักอุทกศาสตร์ที่มาเพื่อสำรวจพื้นที่แถบนั้น แล้วก็ได้เป็นสักขีพยานเรื่องประหลาดสุดสยองครั้งนี้ รายนี้ก็ถือว่ากลางๆ ครับ อาจไม่เด่นนัก แต่ก็ถือว่าโอเค
หนังกำกับภาพโดย Steve Annis ที่โตมาจากสายมิวสิควีดีโอและหนังสั้น ก่อนหน้านี้ก็ผ่านงานหนังไซไฟอย่าง I Am Mother มาก่อน สำหรับเรื่องนี้ก็ถือว่าถ่ายภาพออกมาได้น่าสนใจดีครับ ไม่ว่าจะตอนถ่ายภาพป่าเขาที่ดูสวยงามแต่ก็แฝงไว้ด้วยอารมณ์ลึกลับ ยิ่งตอนถ่ายภาพผืนดินแถบนั้นเต็มไปด้วยสีประหลาดนี่ถือว่าจับภาพมาได้ดีครับ ภาพออกมาแบบ “สวยผวา” คือดูสีสันสวยงามแต่ก็แฝงไว้ด้วยความหวาดสยองอยู่ในที จุดนี้ก็ต้องชมโปรดักชั่น ดีไซเนอร์ Katie Byron (จากหนังล้อหนังเชือดที่ผมชอบอย่าง The Final Girls) กับ Sérgio Costa ผู้กำกับศิลป์ชาวโปรตุเกสด้วย ที่สามารถเนรมิตภาพในหนังให้ออกมาดูเข้าท่าแบบนี้
ผู้กำกับหนังเรื่องนี้คือ Richard Stanley ครับ รายนี้ก็ออกตัวว่าเป็นแฟนผลงานของ Lovecraft เช่นกัน เพราะ Penny Miller แม่ของเขาก็เป็นแฟนพันธุ์แท้ครับ เธอมักจะอ่านงานของ Lovecraft ให้เขาฟังตั้งแต่เด็ก โดยเฉพาะเรื่องสั้น The Colour Out of Space นี่ถือว่ามีอิทธิพลต่อจิตใจเขามากตอนสมัยอายุ 12 – 13 ปี และเมื่อแม่ของเขาล้มป่วยด้วยโรคมะเร็ง เขาก็สลับตำแหน่งเป็นคนอ่านเรื่องของ Lovecraft ให้เธอฟัง
Stanley คิดจะทำหนังเรื่องนี้ตั้งแต่ปี 2011 แล้วครับ แต่ตอนนั้นมีปัญหาเรื่องเงินทุน เขาพยายามเสนอโปรเจคท์นี้ให้นายทุนมากหน้าหลายตาแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ จนกระทั่งปี 2015 เขาก็เสนอโครงการให้กับค่าย SpectreVision แต่ทางค่ายก็เงียบไป 3 ปีจน Stanley คิดว่าสงสัยจะพลาดหวังอีกตามเคย แต่กลายเป็นว่าในปี 2018 ทางผู้บริหารก็ประกาศว่าเขาสนใจจะทำโปรเจคท์นี้ แล้วในที่สุดหนังก็ได้สร้างครับ
คาดว่าส่วนหนึ่งก็เพราะหนังเรื่อง Mandy ที่ถือว่ามีแนวทางสไตล์เรื่องคล้ายๆ กันกลายเป็นหนังที่ประสบความสำเร็จเรื่องหนึ่งของค่าย SpectreVision ผู้สร้างเลยไฟเขียวให้เรื่องนี้ – เรื่องนั้นพี่ Cage ก็แสดงนำเหมือนกัน
ผมชอบที่หนังใช้ CG เท่าที่จำเป็นครับ ในขณะที่พวก “สิ่งมีชีวิตบิดเบี้ยว” ก็มาใช้เมคอัพเอฟเฟคแบบดั้งเดิม ซึ่งมันดูสยอง น่ากลัว และดูน่าขยะแขยงในหลายวาระ ยอมรับว่าชอบงานทำมือแบบนี้ครับ มันดูคลาสสิกดี ใครที่ชอบอะไรแบบที่เคยเห็นใน The Thing หรือ In the Mouth of Madness น่าจะถูกใจล่ะครับ
สิ่งที่น่าเสียดายอย่างยิ่งคือจริงๆ แล้ว Stanley มีแผนจะทำหนังเป็นไตรภาคจักรวาล Lovecraft ครับ โดยเปิดไตรภาคที่เรื่องนี้ แล้วก็ทำ Dunwich Horror เป็นเรื่องต่อไป (ถ้าสังเกตดีๆ ในฉากที่ทีวีพยากรณ์อากาศจะมึการกล่าวถึงเมืองอินส์เมาธ์ (Innsmouth), ดันวิช (Dunwich) และคิงสปอร์ต (Kingsport) ด้วยครับ)
แต่เนื่องจากเขาโดนกล่าวหาในคดีล่วงละเมิด ทำให้ทางค่าย SpectreVision ตัดสัมพันธ์กับ Stanley ทันที และโปรเจคท์ไตรภาคที่วาดไว้ก็โดนยกเลิกไปทั้งหมด
นึกไปแล้วก็รู้สึกครับว่า Richard Stanley เป็นคนทำหนังที่มีวิบากกรรมสูงมากคนหนึ่ง เพราะผลงานหนังใหญ่ชิ้นก่อนหน้าเรื่องนี้ก็คือ The Island of Dr. Moreau ฉบับปี 1996 ที่ครั้งนั้นเขาโดนไล่ออกกลางกองถ่าย ถูกถอดชื่อออกจากโปรเจคท์ (แล้วถูกแทนที่ด้วย John Frankenheimer) แล้วหลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้จับหนังใหญ่อีกเลยจนกระทั่งเรื่องนี้ครับ ซึ่งก็รอเกือบ 10 ปีกว่าจะได้ทำออกมา และจริงๆ Color Out of Space เรื่องนี้ถือว่ามีอนาคตนะ น่าจะส่งให้เขาทำไตรภาค Lovecraft ต่อได้ แต่สุดท้ายก็ยังมาต้องคดีอีก อะไรๆ เลยดับวูบลงทันตา
ก็ขอสรุปแบบแยกแยะประเด็นนิดหน่อยนะครับ แยกระหว่างความชอบของผมกับสิ่งที่ตัวหนังเป็น คือถ้าว่ากันตามตัวหนังแล้ว หนังก็เป็นแนวลึกลับสยองขวัญไซไฟที่ทำได้น่าติดตามพอประมาณครับ ช่วงแรกๆ อาจเรื่อยๆ อยู่บ้าง เพราะหนังสร้างความน่ากลัวแบบค่อยๆ ก่อตัวครับ แบบนิยายที่เปิดไปทีละหน้า โดยหนังจะมาสยองเต็มๆ จริงๆ ก็ปาไปช่วงท้าย ซึ่งก็ถือว่าสยองตามท้องเรื่องครับ โดยเฉพาะเรื่องที่เกิดกับ “ตัวละครคู่หนึ่ง” ยอมรับเลยครับว่าดูแล้วรู้สึกสลดและสยองไปในเวลาเดียวกัน
ในมุมหนึ่งก็ต้องว่าตามจริงว่าหนังอาจไม่ได้แปลกใหม่อะไรครับ คอหนังแนวนี้อาจเคยเจออะไรแบบนี้กันมาแล้วจากหนังหลายเรื่อง – แต่หากว่ากันแบบแฟร์ๆ แล้ว ถ้าพูดถึงพล็อตและจินตนาการทำนองนี้ จริงๆ Lovecraft ถือว่าเป็นเจ้าตำรับครับ เขาสร้างแรงบันดาลใจให้นักเขียนและคนทำหนังมากมายจินตนาการอะไรทำนองนี้ออกมาให้เราได้เห็น เพียงแต่ที่เราเห็นก่อนหน้านี้โดยมากจะเป็นการได้แรงบันดาลใจจาก Lovecraft มากกว่าจะเป็นการเอาเรื่องของเขามาสร้างโดยตรง
ดังนั้นสำหรับผมแล้ว ที่ผมชอบก็เพราะผมได้เห็นสิ่งที่เคยวาดภาพจินตนาการไว้ตอนอ่านงานของ Lovecraft ออกมาโลดแล่นเป็นของจริงสักที มันเลยรู้สึกโดนใจเป็นการส่วนตัวน่ะครับ เหมือนฝันเป็นจริงอะไรทำนองนั้น (แต่ก็เป็นความฝันที่สยองและหลอนพอดูเลยแฮะ)
และอีกจุดหนึ่งที่ผมว่าน่าสนใจคือการตอบสนองต่อ “สิ่งที่ยังไม่รู้” ของแต่ละตัวละครที่จะต่างกันไป อย่างเนธาน (Cage) ก็ตอบสนองแบบคนทั่วไป รู้แค่ไหนก็ทำไปแค่นั้น เจอปัญหาก็แก้ไปแบบเฉพาะหน้า ไม่ได้วางแผนหรือคิดใคร่ครวญอย่างตั้งใจ ทำอะไรไปตามอารมณ์เป็นส่วนมาก
ในขณะที่วาร์ด (Knight) จะตอบสนองแบบค้นคว้าเพิ่มเติม อันไหนที่ยังไม่รู้ก็จะหาคำตอบและเก็บข้อมูลจนกว่าจะรู้ พยายามนำเข้าเหตุและผลสู่ความคิดตน ทำให้ตนเองมองภาพของเหตุการณ์ให้ครบมุมที่สุดเท่าที่จะทำได้
ส่วนเทเรซ่า (Richardson) เหมือนเป็นการสะท้อนมนุษย์ที่ “ตัว” กับ “ใจ” ไม่ได้อยู่ด้วยกัน แม้ตัวจะอยู่ที่บ้านหลังนั้น แต่ใจกลับจดจ่ออยู่แต่กับเรื่องงาน จดจ่ออยู่กับคนที่อยู่ห่างออกไปไม่รู้กี่ร้อยไมล์ จนไม่สนใจสิ่งแวดล้อมรอบตัวในปัจจุบัน
สำหรับลาวิเนีย (Arthur) ก็เหมือนจะสะท้อนคนกลุ่มที่ผูกชีวิตเข้ากับความเชื่่อ ตีความการมาของสิ่งที่ยังไม่รู้โดยอิงความเชื่อมากกว่าอิงความรู้ และการแก้ปัญหา-หาทางออกของเธอก็จะใช้ความเชื่อเป็นแนวทางอีกเช่นกัน – อะไรเหล่านี้ก็สะท้อนมิติตัวตนของผู้คนที่มีอยู่หลากหลายในสังคมได้น่าคิดดีเหมือนกันครับ
ครับ สรุปว่าผมชอบหนังในระดับหนึ่งนะ แต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ครับว่าถ้าหนังกระชับกว่านี้สักนิด หรือมีลูกเล่นในการเล่าเรื่องตอนต้นๆ กับกลางๆ มากกว่านี้อีกสักหน่อยก็คงจะเข้าข่ายดีมากๆ เลย เอาเป็นว่าคนที่ชอบงานของ Lovecraft และอยากเห็นสิ่งที่เคยอ่านออกมาเป็นภาพจริงๆ หรือถ้าใครชอบหนังไซไฟแนว Cosmic Horror (เรื่องสยองยามมนุษย์เจอกับสิ่งลึกลับจากห้วงอวกาศ, ต่างมิติ หรือสิ่งที่ยังไม่รู้) เรื่องนี้ก็ถือว่าน่าลิ้มลองอยู่ครับ ไม่ถึงกับอร่อยสุดๆ แต่ก็ใช้ได้ไม่เลว
จริงๆ ต้องบอกว่าหนังแนวนี้ก็ไม่ค่อยมีคนทำออกมาด้วยครับ ไหนๆ มีออกมาให้ดูแล้วก็น่าสัมผัสสักครั้งครา ชอบไม่ชอบค่อยว่ากัน แต่ดีกว่าพลาดเรื่องนี้ไปแล้วมาเสียดายในภายหลังหากไม่มีคนทำหนังแนวนี้ออกมาให้ดูอีก
สองดาวกว่าๆ ครับ
(6.5/10)