XO, Kitty” มันบดผสมกิมจิ เคี้ยวง่าย สบายท้อง

สำหรับแฟน ๆ ‘To All the Boys’ น่าจะรู้จักคิตตี้กันดี เพราะเธอคือน้องสาวคนสุดท้องจากตระกูลคัฟวีย์ สาวน้อยนักจับคู่ที่ทำให้ ลาร่า จีน พี่สาวของเธอสมหวังกับหนุ่มสุดฮอต ปีเตอร์ คาวินสกี มาแล้ว แถมยังจับคู่ให้ป๊ะป๋าสุดที่รักลงเอยกับสาวข้างบ้านจนสำเร็จอีกด้วย และครั้งนี้ ‘XO, Kitty ด้วยรักจากคิตตี้’ ก็เป็นเรื่องราวความรักข้ามน้ำข้ามทะเลของเธอเอง กับแฟนหนุ่มชาวเกาหลีใต้ที่คบหากันทางไกล แต่เธอกำลังจะทำให้มันใกล้กว่าที่คิด

https://youtube.com/watch?v=eTruhNBwBOo%3Fversion%3D3%26rel%3D1%26showsearch%3D0%26showinfo%3D1%26iv_load_policy%3D1%26fs%3D1%26hl%3Den-US%26autohide%3D2%26wmode%3Dtransparent

‘XO, Kitty ด้วยรักจากคิตตี้’ เล่าเรื่องราวของ คิตตี้ ซอง คัฟวีย์ (แอนนา แคธคาร์ต) น้องคนสุดท้องของครอบครัวคัฟวีย์ เธอเป็นเด็กสาววัยใสที่กำลังมีความรักทางไกลกับ แด (ชเว มินยอง) หนุ่มน้อยชาวเกาหลีใต้ นักเรียนหัวกะทิของ KISS โรงเรียนนานาชาติที่มีชื่อเสียงระดับท็อปของกรุงโซล เธออยากเจอเขามากถึงขนาดสอบชิงทุนไปเรียนที่เดียวกับเขา และแน่นอน การเดินทางไปเกาหลีใต้ในครั้งนี้นอกจากจะไปเจอแฟนหนุ่มของเธอแล้ว ที่ KISS ยังมีเรื่องราวความหลังของแม่เธออยู่ที่นั่นด้วย

https://00514b4f48fbf7bf25aa0cb2ed1d0c1c.safeframe.googlesyndication.com/safeframe/1-0-40/html/container.html

ก้าวแรกของการมาเยือนโซล ไม่ง่ายและไม่ยากเกินไปสำหรับเธอ เรื่องราววุ่น ๆ ตามประสาวัยรุ่นก็ประดังประเดมาให้เธอพิสูจน์ตัวเอง ที่นี่เธอได้เจอกับเพื่อนใหม่อย่าง มินโฮ (ซังฮอน ลี) คิว (แอนโทนี เคย์แวน) และยูริ (เจียคิม ลี) ชีวิตใหม่ในอีกซีกโลกหนึ่งทำให้เธอได้รู้ว่า ความสัมพันธ์ที่มีหัวใจของตัวเองเป็นเดิมพัน มันช่างสลับซับซ้อนกว่าที่คิดเอาไว้มากจริง ๆ

ส่วนผสมที่ลงตัวของมันบดกับกิมจิ

ซีรีส์ภาคแยกจากตระกูล ‘To All the Boys’ หนังรักวัยรุ่นอเมริกันที่สร้างมาแล้วถึง 3 พาร์ต จากนิยายยอดนิยมทั้ง 3 เล่ม To All The Boys I’ve Love Before (พาร์ต 1) To All The Boys : PS. I Still Love You (พาร์ต 2) และ To All The Boys : Always and Forever (พาร์ต 3) ซึ่งการเล่าเรื่องครั้งนี้ได้จัดมาเป็นซีรีส์ 10 ตอนจบ ฉะนั้นแล้วไม่จำเป็นที่จะต้องเคยดู ‘To All the Boys’ มาก่อน โผล่มาดูเรื่องนี้เลยก็รู้เรื่องค่ะ

เพราะนี่คือเรื่องราวสดใหม่ของคิตตี้ที่ไม่ได้มีอยู่ในนิยายทั้ง 3 พาร์ตเลยสักนิด แต่เป็นการผูกเรื่องขึ้นมาใหม่เพื่อคิตตี้โดยเฉพาะ จากฝีมือของผู้สร้างคนเดิม เจนนี่ ฮาน (Jenny Han) แต่ยังคงใช้นักแสดงคนเดิมมารับบทคิตตี้ และจัดให้เธอมาเจอเพื่อนใหม่ในอีกซีกโลก ได้พบกับวัฒนธรรมใหม่ บรรยากาศใหม่ ที่เรียกได้ว่าการผสมผสานครั้งนี้ ไม่ต่างอะไรกับการกินมันบดกับกิมจิในสำรับเดียวกันเลยสักนิด

ซีรีส์เล่าเรื่องราวแบบสบาย ๆ ย่อยง่าย แต่ก็จงใจใส่ดราม่าหนัก ๆ เข้ามาเป็นระยะ ๆ ทั้งเรื่องราวความรักวัยเรียนแบบอเมริกันผสมเกาหลี เรื่องของ LGBTQ ที่สังคมเกาหลีเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับ แต่ธรรมดามาก ๆ ในสังคมอเมริกัน ความเข้มงวดของกฎหมายเรื่องการดื่มแอลกอฮอล์ในวัยรุ่น เรื่องของการตั้งครรภ์ในวัยที่ยังไม่พร้อม จนทำให้เด็ก ๆ ชาวเกาหลีหลายต่อหลายคนต้องกลายเป็นเด็กกำพร้าและถูกอุปการะโดยชาวต่างชาติ

https://00514b4f48fbf7bf25aa0cb2ed1d0c1c.safeframe.googlesyndication.com/safeframe/1-0-40/html/container.html

เป็นการผูกปมที่ใช้การเชื่อมโยงวัฒนธรรมที่แตกต่างของสองเชื้อชาติ แล้วเล่าออกมาเป็นเรื่องราวสนุกสนาน ประสาวัยรุ่นที่กำลังมีความรัก เราจะได้เห็นความน่ารักแบบอเมริกันสไตล์ของคิตตี้ ผสมรวมไปกับกลิ่นอายของความเป็นซีรีส์เกาหลี ที่ซีรีส์ถ่ายทอดออกมาแบบครึ่งต่อครึ่ง

นอกจากนี้บทยังไม่ลืมที่จะเล่นประเด็นครอบครัว ที่มักจะเห็นกันอยู่เป็นกระจำในซีรีส์เกาหลี ที่มักจะมีเรื่องราวในอดีตให้ต้องล้วงลึก สืบเสาะ และกลายเป็นดราม่าเล็ก ๆ สร้างความสงสัยให้คนดูได้ลุ้นตาม ผสมไปกับแสงสีของซีรีส์วัยรุ่นอเมริกันที่ไม่เคยห่างจากงานปาร์ตี้ การพบรัก การสลับคู่ การสมหวัง การอกหัก จนกลายเป็นซีรีส์ลูกครึ่งที่ไม่ประดักประเดิด และสามารถทำให้เรายิ้มตามไปได้ง่าย ๆ เพลินยาวไปจนจบ 10 ตอน แบบไม่รู้เบื่อ

การกล้าเล่นประเด็น LGBTQ ที่ชัดแจ๋ว

ถึงแม้ว่าในช่วงหลัง ๆ เราจะเห็นการนำเสนอตัวละครที่เป็น LGBTQ ในซีรีส์เกาหลีมากขึ้น และเป็นไปในทางที่เข้าใจและให้เกียรติต่อกลุ่ม LGBTQ อย่างที่เห็นได้ชัดก็ตั้งแต่ปี 2017 จากซีรีส์ ‘Prison Playbook’ กับตัวละคร ยูฮันยาง (อีคยูฮยอง) หรือ จองซูฮยอน (ควอนซูฮยอน) และ เอียน พัค (คิมโดยอน) จาก Move To Heaven (2021) และอีกหลายต่อหลายเรื่อง ที่ทางเกาหลีได้ถ่ายทอดความเป็น LGBTQ ของตัวละครต่าง ๆ อย่างระมัดระวังและนุ่มนวล

แต่เมื่อเป็นการนำเสนอจากมุมมองของคนนอกที่เป็นชาวอเมริกัน ความกล้าเล่นก็ฉายชัดออกมาให้เห็น มีการล้วงลึกไปถึงบริบทสังคมที่มีคำว่า ยอมรับเถอะ ทำไมต้องกีดขวางความรักของพวกเขา ทำไมพวกเขาต้องหลบซ่อน สังคมจะเอาอะไรกับพวกเขานักหนา อยู่เต็มไปหมดในการแสดงออก บทพูดและการสื่ออารมณ์ของตัวละคร คือเผือกไปยันโครงสร้างของเขาแน่ะ จุดนี้ก็สร้างความแปลกใหม่ให้คนดูอยู่พอสมควรค่ะ เมื่อได้เห็นนักแสดงเกาหลีเล่นบทนี้อย่างโจ่งแจ้ง คิด ทำ และพูดออกมาอย่างชัดแจ๋ว

แม้แต่โปรดักชัน ก็ยังมีความเป็นลูกผสม

งานศิลปะของแต่ละซีกโลกมักมีเอกลักษณ์ของชนชาติอยู่ในนั้นเป็นเรื่องธรรมดานะคะ โดยเฉพาะหนังและละคร และมันธรรมดาซะจนผู้ชมสามารถแยกแยะได้เลยว่า หนังหรือละครเรื่องนั้น ๆ เป็นผลงานของชนชาติไหน นี่หนังอเมริกัน ที่หนังฝรั่งเศส นี่หนังเกาหลี เราแยกแยะมันได้ด้วยลายเซ็นที่มองเห็นกันอยู่โต้ง ๆ ตามเนื้อหนัง แต่เรื่องนี้จะมีความแตกต่างกันอยู่เล็กน้อย คือเราสามารถรับรู้ได้ทันทีเลยว่า นี่คือหนังอเมริกันที่กำลังใส่ชุดฮันบก ถ้าซีรีส์เรื่องนี้เป็นร้านอาหาร เราก็สามารถได้กลิ่น แฮมเบอร์เกอร์ลอยมาแตะจมูกตีคู่มากับต๊อกบกกี กันเลยละค่ะ

เราจะเห็นบรรยากาศของซีรีส์วัยรุ่นอเมริกัน ผสมผสานไปกับซีรีส์วัยรุ่นเกาหลี สลับกันชิงดีชิงเด่นในแต่ละฉาก และเปลี่ยนอรรถรสไปตามบท ตามซีนที่มันควรจะเป็นอย่างกลมกลืน แม้แต่บทผูดที่เป็นภาษาอังกฤษผสมเกาหลีก็ลื่นไหล ไม่มีการขัดแข้งขัดขากันเลยสักนิด เรียกได้ว่าเป็นซีรีส์ลูกผสมที่นำส่วนผสมของสองวัฒนธรรมมาคลุกรวมกันได้อย่างกลมกล่อม รวมไปถึงนักแสดงหน้าใหม่ที่จับบทได้อยู่หมัด อย่าง ซังฮอน ลี ในบท มินโฮ น้องชายแท้ ๆ ของ เจียคิม ลี ผู้รับบท ยูริ ที่แนะนำน้องชายให้เข้ามาเป็นนักแสดงนำในเรื่องนี้

เรียกว่าถึงจะเป็นนักแสดงหน้าใหม่ และมีผลงานการแสดงเป็นเรื่องแรก แต่ก็ทำเอาแฟน ๆ อยากติดตามให้กำลังใจกันจ้าละหวั่น ไม่แน่นะคะ เราอาจจะได้ชมผลงานเรื่องต่อไปของเขาในเร็ว ๆ นี้ก็เป็นได้ และเมื่อซีรีส์มีการจบแบบปลายเปิด (นิด ๆ ) บวกกับกระแสตอบรับที่อยู่ในขั้นสวยงาม ผู้สร้างอย่าง เจนนี่ ฮาน เกิดคันไม้คันมือขึ้นมา อาจจะผุดโปรเจกต์ XO, Kitty ซีซั่น 2 มาสนองนี๊ดแฟน ๆ ก็เป็นได้ ใครจะรู้ละเนอะ