Venom: Let There Be Carnage
เป็นอีกหนึ่งในภาคต่อที่แฟนๆ รอคอยอยู่ไม่น้อยในปีนี้ เพราะทิ้งช่วงกว่าจะตีตลาดฉายบ้านเราก็เว้นระยะไปเป็นเดือนๆ จนกระแสแทบจะเหือดหายไปแล้ว และนี่คือ “Venom: Let There Be Carnage” การกลับมาสานต่อความสำเร็จของเจ้าปรสิตแฝงร่างมนุษย์ ที่กลายเป็นฮีโร่พันธุ์ขบถอีกหนึ่งขวัญใจของคนดู กลับมาคราวนี้ต้องมาเจอกับศึกหนักกับคู่ต่อกรที่เหนือกว่า แม้ว่าทุกๆ องค์ประกอบจะดูยิ่งใหญ่ขึ้นกว่าเดิม แต่ทำไมกลับรู้สึกว่า…หนังประดิษฐ์เกินเหตุไปเกือบทั้งเรื่อง
Venom: Let There Be Carnage เล่าเรื่องราวสานต่อจากภาคที่แล้ว เอ็ดดี้ บร็อก พยายามจุดประกายไฟให้กับอาชีพสื่อมวลชนของเขา ด้วยการดั้นด้นเข้าไปสัมภาษณ์ฆาตกรต่อเนื่องผู้เลื่องชื่อ เคลตัส คาซาดี้ ชายผู้ที่กลายมาเป็นร่างอวตารให้กับ คาร์เนจ สิ่งมีชีวิตจากต่างดาวที่แอบลักลอบเข้ามาแฝงตัวอยู่บนโลกใบนี้ และเรื่องไม่คาดฝันก็ได้เกิดขึ้น เมื่อเคสตัสได้ก่อเหตุแหกคุก หลังจากที่การรับโทษประหารชีวิตของเขาล้มเหลว
มาในภาคนี้ได้เจ้าพ่อหนังซีจี “แอนดี้ เซอร์กิส” นักแสดงหนุ่มที่เราคุ้นเคยเขาเป็นอย่างดีในบท ‘กอลัม’ มานั่งเก้าอี้เป็นผู้กำกับหนังเรื่องนี้ให้ แน่นอนว่ามุมมองและวิสัยทัศน์ของเขาที่ถ่ายทอดออกมาในหนังเรื่องนี้นั้น ค่อนข้างทำออกมาได้ดี การออกแบบแต่ละฉากดูน่าตื่นตา โดยเฉพาะฉากต่อสู้ไคลแม็กซ์ของเรื่องนี้ที่แม้จะเป็นสเกลการอิมแพคแบบไม่ใหญ่มาก แต่ก็ทรงพลังไม่เบาเลยทีเดียว
แต่กระนั้น Venom: Let There Be Carnage ก็ยังเต็มไปด้วยจังหวะจะโทนที่่ค่อนข้างกระอักกระอ่วนไปตลอดทาง หนังดูมีความพยายามเกินตัวไปในหลายจุด พยายามที่จะขึงขังดุดัน พยายามที่จะขบขันด้วยมุกตลก พยายามซีเรียสกับอาชญากรรม พยายามสร้างความหลากหลายกับกลิ่นความวาย ความตั้งใจพยายามที่ล้นเกินไปของหนังเรื่องนี้ ได้กลายมาเป็นดาบสองคม ผันตัวเป็นจุดด้อยที่สั่นคลอนตัวหนังไปตลอดทั้งเรื่อง
หากจะกล่าวจากสัตย์จริงก็คือ ไม่ได้รู้สึกเอ็นจอยกับ Venom: Let There Be Carnage สักเท่าไหร่นัก ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะว่าการเล่าเรื่องของหนังทำให้ไมเกรนขึ้นไปชั่วขณะ โดยเฉพาะช่วงปูเรื่องในครึ่งแรกของหนัง ที่ค่อนข้างเละเทะไปสักนิด ผนวกกับการสื่อสารตอบโต้กันไปมาระหว่าง เอ็ดดี้ กับ เวน่อม เสียงที่ตีกันไปกันมาตลอดเวลา ช่างน่ากุมขมับและปวดประสาทหูชะมัด
ในขณะเดียวกัน บทหนังของ Venom: Let There Be Carnage ก็มาพร้อมกับโครงเรื่องที่ช่างกระจิดริดเสียเหลือเกิน มีความเป็นน้ำมากกว่าเนื้อ พยายามที่จะวางโทนให้ตัวเองเป็นหนังแอคชั่นฮีโร่แนวอาชญากรรมดุดัน แต่น่าเสียดายที่ตัวเองไม่สามารถทำไปถึงจุดนั้นได้ และยังมีอีกหลายๆ จุดที่หนังไปได้ไม่สุดทาง กลายเป็นความเก้ๆ กังๆ และทิ้งคนดูเอาไว้อยู่กลางทางแบบนั้น
ทีมนักแสดงของ Venom: Let There Be Carnage ต้องปรบมือให้กับการเล่นสุดตัวของพวกเขา “ทอม ฮาร์ดี้” ยังทำหน้าที่ของเขาได้ดี แต่เห็นได้ชัดเลยว่าเสน่ห์ในตัวละครนี้ที่เคยเห็นในภาคแรกแทบไม่ปรากฏให้เห็นในภาคนี้เลย เขากลายเป็นตัวละครจืดๆ แบนๆ ไปเสียอย่างนั้น “วู้ดดี้ ฮาร์เรลสัน” ได้สวมบทบาทเป็นฆาตกรโรคจิตแบบถึงกึ๋น เพียงแต่บทที่ไม่สามารถส่งให้ไปได้สุดทาง จึงทำให้กลายเป็นแค่คาแรกเตอร์ที่มีความวัลลาบีอย่างเหมือนองก์โจ๊กเกอร์ก็แค่นั้น
เอาเป็นว่านี่อาจจะยังไม่ใช่หนังที่สนุกสุดๆ แต่หนังยังคงสร้างอรรถรสเป็นตัวเองได้ดีอยู่เพียงแต่การเล่าเรื่องยังมีปัญหาอยู่เยอะ งานสร้างต่างๆ ทำออกมาได้ดี เทคนิคพิเศษและซีจีออกแบบมาได้น่าทึ่ง แต่ยังไม่สามารถปลดแอกในหลายจุดออกมาในระดับที่น่าพอใจ ทำให้หนังความยาวชั่วโมงครึ่งเรื่องนี้เป็นเพียงความดาดดื่นในการรับชมอยู่ก็เท่านั้น
แต่กระนั้นแฟนๆ หนังมาร์เวลก็ยังคงต้องไม่พลาดดูหนังเรื่องนี้อยู่ดี เพราะเห็นได้ชัดว่า โซนี่ พิคเจอร์ส ก็กำลังพยายามปลุกปั้นสร้างจักรวาลหนังของพวกเขาอยู่เช่นกัน ยังมีอีสเตอร์เอ้กแอบซ่อนเอาไว้ให้ผู้ชมได้เก็บรายละเอียดเพลินๆ เพียงน่าเสียดายไปสักหน่อยที่หนังเรื่องนี้ไม่ได้มีอะไรที่ทำให้รู้สึกตื่นตาและแปลกใจ ก็แค่หนังแอคชั่นฮีโร่สูตรสำเร็จที่เต็มไปด้วยพยายามล้นเปี่ยม…
ข้อมูลเกี่ยวกับหนัง Venom: Let There Be Carnage
- ประเภท: แอคชั่น / ทริลเลอร์ / ระทึกขวัญ
- ผู้กำกับ: แอนดี้ เซอร์กิส
- นำแสดงโดย: ทอม ฮาร์ดี้, วู้ดดี้ ฮาร์เรลสัน, มิเชล วิลเลียมส์
- ความยาว: 97 นาที
- กำหนดฉายในไทย: 2 ธันวาคม 2021 (ในโรงภาพยนตร์)
Movie.TrueID METRIC: Venom: Let There Be Carnage
- ภาพรวม
⭐⭐⭐⭐⭐⭐✰✰✰✰ (6/10) - การเล่าเรื่อง
⭐⭐⭐⭐⭐⭐✰✰✰✰ (6/10) - การแสดง
⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐✰✰✰ (7/10) - บทภาพยนตร์
⭐⭐⭐⭐⭐⭐✰✰✰✰ (6/10)
————————————-