THE WOMAN IN THE HOUSE ACROSS THE STREET FROM THE GIRL IN THE WINDOW

รีวิว ซีรีส์ THE WOMAN IN THE HOUSE ACROSS THE STREET FROM THE GIRL IN THE WINDOW

รีวิว ซีรีส์ THE WOMAN IN THE HOUSE ACROSS THE STREET FROM THE GIRL IN THE WINDOW ซีรีส์เกี่ยวกับการฆาตกรรมปริศนาที่จบหักมุมจะทำให้ทุกคนต้องหน้าแหก 

ภาพยนตร์หรือซีรีส์ก็ตามหามีการจบแบบหักมุมมักจะได้รับความนิยมอยู่เสมอ ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากการที่มนุษย์เรานั้นมักถูกหลอกให้หลงเชื่อได้ง่าย เมื่อได้ทราบถึงความเป็นจริงที่เกิดขึ้นซึ่งเป็นการเฉลยเรื่องราวและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาทั้งหมดมันย่อมทำให้เรารู้สึกเซอร์ไพรส์กับสิ่งที่ได้รู้ มันจึงไม่น่าแปลกใจอะไรที่ซีรีส์แนวหักมุมจะได้รับความนิยมเป็นอย่างมากและมีการสร้างออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่น่าเสียดายที่ในช่วงหลังมานี้เรื่องราวส่วนใหญ่มักพยายามจบหักมุมแต่ทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร บางเรื่องนำเสนอออกมาอย่างไม่สมเหตุสมผลในขณะที่บางเรื่องมีจุดหักมุมที่เราเคยเห็นมาแล้วในภาพยนตร์หรือซีรีส์เรื่องอื่นจึงไม่ได้รู้สึกแปลกตาแปลกใจแต่อย่างใด 

การคิดไอเดียใหม่สำหรับการสร้างฉากจบหักมุมจึงกลายมาเป็นการบ้านที่หนักหน่วงไม่น้อยสำหรับคนที่อยากจะสร้างซีรีส์แนวนี้ และผู้สร้างซีรีส์เรื่อง THE WOMAN IN THE HOUSE ACROSS THE STREET FROM THE GIRL IN THE WINDOW  ที่เราจะมาแนะนำในวันนี้ก็สามารถสร้างสรรค์ฉากจบหักมุมออกมาได้ดีไม่น้อยเช่นเดียวกัน ซีรีส์ชื่อยาวเหยียดเรื่องนี้เป็น MINI SERIES ที่มีความยาวทั้งหมด 8 ตอน ความยาวตอนละไม่เกิน 30 นาทีเท่านั้น มันจึงเหมาะเป็นอย่างยิ่งสำหรับคนที่อยากจะหาอะไรรับชมแต่ไม่ค่อยมีเวลา 

เป็นซีรีส์ที่เล่าถึงเรื่องราวคดีฆาตกรรมที่เต็มไปด้วยปริศนาและความระทึกขวัญ โดยจะพาเราไปรับชมเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นคือการเกิดเหตุฆาตกรรมไปจนถึงขั้นตอนการสืบสวนสอบสวนและการพาคุณไปเซอร์ไพรส์กับฉากจบที่คุณจะคาดไม่ถึงอย่างแน่นอน ดังนั้นในบทความนี้เราจึงจะพยายามอย่างถึงที่สุดในการรีวิวโดยไม่เปิดเผยเนื้อหาสำคัญเพื่อให้คุณสามารถอ่านแล้วยังคงรับชมซีรีส์ได้โดยที่อรรถรสในการรับชมยังคงอยู่อย่างครบถ้วน 

ซีรีส์ netflix

เรื่องราวในซีรีส์เรื่อง THE WOMAN IN THE HOUSE ACROSS THE STREET FROM THE GIRL IN THE WINDOW 

THE WOMAN IN THE HOUSE ACROSS THE STREET FROM THE GIRL IN THE WINDOW เป็นซีรีส์ที่เล่าถึงเรื่องราวของหญิงสาวคนหนึ่งที่มีชื่อว่าแอนนา เธอเป็นจิตรกรหญิงที่มีความสามารถในการวาดรูปไม่แพ้ใคร แต่ในช่วงเวลานี้เธอกลับต้องเผชิญกับความยากลำบากและความทุกข์ใจจากการเสียลูกสาวไปจากคดีฆาตกรรมทั้งทั้งที่เธอมีอายุเพียงแค่ 8 ขวบเท่านั้น และการจากไปของลูกสาวก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่ห่างเหินกับสามีจนสุดท้ายทั้งคู่ก็ตัดสินใจแยกทางกันในที่สุด

เธอใช้ชีวิตในแต่ละวันด้วยความทุกข์ใจกับการย้อนคิดถึงอดีตที่เคยมีความสุขรวมไปถึงลูกสาวตัวน้อยแสนน่ารักที่เปรียบเสมือนกับนางฟ้าของเธอ ในวันหนึ่งบ้านฝั่งตรงข้ามก็มีครอบครัวใหม่ย้ายเข้ามาอยู่อาศัย ประกอบไปด้วยพ่อหม้ายหน้าตาดีอย่างนีลและลูกสาวของเขาวัย 9 ขวบที่มีชื่อว่าเอ็มม่า หลังจากย้ายมาอยู่ได้ไม่นานเธอก็ได้รู้ว่าชายหนุ่มกำลังคบหากับแฟนใหม่ของเขาที่มีชื่อว่าลิซ่า แต่หญิงสาวคนนี้กลับแสดงท่าทีไม่พอใจเธอออกมาอย่างชัดเจน และเหตุการณ์ก็ยิ่งวุ่นวายมากยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อแอนนาได้รู้ว่าลิซ่ากำลังนอกใจแฟนตัวเองไปคบกับผู้ชายคนอื่น 

ความวุ่นวายยังไม่จบเพียงเท่านั้นเพราะในคืนหนึ่งแอนนาได้เหม่อมองออกไปผ่านทางหน้าต่างแต่เธอกลับต้องเห็นเหตุการณ์ที่เธอไม่ควรเห็น ลิซ่ากำลังถูกใครบางคนพยายามฆ่า แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ชอบเธอสักเท่าไหร่แต่เธอก็ตัดสินใจที่จะพยายามไปช่วยเหลือ แต่เพราะเธอเป็นโรคกลัวฝนแถมในคืนนั้นก็มีฝนตกทำให้สุดท้ายเธอก็นอนหมดสติอยู่ริมถนนก่อนจะข้ามไปช่วยชีวิตลิซ่าได้ทัน หลังจากนั้นเธอก็ต้องพบเจอกับปริศนามากมายเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น 

ความรู้สึกหลังรับชมซีรีส์เรื่อง THE WOMAN IN THE HOUSE ACROSS THE STREET FROM THE GIRL IN THE WINDOW 

THE WOMAN IN THE HOUSE ACROSS THE STREET FROM THE GIRL IN THE WINDOW เป็นซีรีส์ที่จะพาเราไปรับรู้เรื่องราวของตัวละครต่างๆ ว่าพวกเขามีอดีตความเป็นมาอย่างไร กำลังรู้สึกอย่างไรอยู่ หลังจากการเกิดเหตุฆาตกรรมเป็นที่เรียบร้อยแล้วเรื่องราวก็จะพาคุณเข้าสู่การแก้ไขปริศนาคดีฆาตกรรมในทันที นอกจากเรื่องการแก้ไขปริศนาแล้วยังมีอะไรอีกมากมายที่ทำออกมาเพื่อให้เราได้คิดตามว่าปริศนาเหล่านั้นจะไปถึงจุดจบในรูปแบบไหนไม่ว่าจะเป็นการที่แอนนามีอาการประสาทหลอนจากการสูญเสียลูก เป็นโรคกลัวฝน ชอบดื่มไวน์พร้อมกับทานยา มันทำให้เราอดคิดไม่ได้ว่าที่เธอเห็นมันเป็นความจริงหรือแค่หลอนไปเองเท่านั้น

ด้วยความที่เป็น MINI SERIES ทำให้ทั้งเรื่องมีตัวละครอยู่เพียงแค่ไม่กี่ตัวเท่านั้น และคนที่ดำเนินเรื่องราวทั้งหมดก็คือตัวแอนนา ดังนั้นซีรีส์เรื่องนี้จึงค่อนข้างเข้าใจง่าย ไม่ได้เดินเรื่องสลับซับซ้อนอะไรมากมาย แต่การนำเสนอเรื่องราวผ่านตัวละครที่มีเงื่อนไขอะไรมากมายอย่างแอนนามันทำให้เรารู้สึกไม่มั่นใจกับสิ่งที่เราเห็นว่าสุดท้ายแล้วมันเป็นความจริงหรือไม่ นอกจากนี้ด้วยเวลาที่จำกัดทำให้การดำเนินเรื่องราวค่อนข้างมีความกระชับฉับไว เล่าเรื่องราวเป็นเส้นตรงไปข้างหน้าพุ่งไปยังประเด็นเดียว มันจึงค่อนข้างน่าสนใจและน่าติดตามจนแทบจะไม่มีจังหวะน่าเบื่อออกมาให้เราได้เห็นเลยแม้แต่น้อย 

อย่างไรก็ตามข้อสังเกตสำหรับซีรีส์เรื่องนี้ก็คือฉากหักมุมที่หากคุณได้รับชมแล้วจะต้องอ้าปากค้างด้วยความเหวออย่างแน่นอน มันเป็นฉากจบที่ถ้าหากใครชอบก็ชอบไปเลย แต่ถ้าใครที่ไม่ชอบก็จะไม่ชอบไปเลยเช่นเดียวกัน คุณจะชอบซีรีส์เรื่องนี้หรือไม่มีทางเดียวเท่านั้นที่จะรู้คำตอบได้ก็คือการไปรับชมนั่นเอง 

ตัวอย่างซีรีส์ THE WOMAN IN THE HOUSE ACROSS THE STREET FROM THE GIRL IN THE WINDOW

รีวิวซีรีส์ THE WOMAN IN THE HOUSE ACROSS THE STREET FROM THE GIRL IN THE WINDOW บางส่วนจาก beartai

‘The Woman in the House Across the Street from the Girl in the Window’ มินิซีรีส์ชื่อยาวเหยียดของ Netflix ความยาว 8 ตอนจบ (ตอนละประมาณ 22-29 นาที) มีหน้าหนังและชื่อเรื่องที่แสดงให้เห็นชัดเจนแจ่มแจ้งว่าเราจะได้ดูเรื่องราวระทึกขวัญเกี่ยวกับฆาตกรรมปริศนาของผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่บ้านตรงกันข้ามกับผู้หญิงอีกคนหนึ่งอย่างแน่นอน

คริสเทน เบลล์ (Kristen Bell) รับบทแอนนา จิตรกรหญิงที่กำลังอยู่ในช่วงระทมทุกข์จากการสูญเสียลูกสาววัย 8 ขวบจากคดีฆาตกรรมและนำไปสู่การแยกทางกับสามี ได้รู้จักเพื่อนบ้านใหม่ที่ย้ายมาอยู่บ้านฝั่งตรงข้าม นีล (ทอม ไรลีย์ – Tom Riley) พ่อม่ายหนุ่มหน้าตาดี มีลูกสาววัย 9 ขวบชื่อเอ็มม่า จากนั้นไม่นานเธอก็พบว่านีลกำลังคบหากับลิซ่า (เชลลีย์ เฮนนิก Shelley Hennig) แฟนใหม่ที่แสดงท่าทีไม่ค่อยปลื้มแอนนานัก แอนนาแอบรู้ว่าลิซ่ากำลังนอกใจนีลคบกับผู้ชายอีกคน และหลังจากนั้นไม่นาน ในค่ำคืนหนึ่งแอนนามองผ่านหน้าต่างและเห็นลิซ่ากำลังถูกฆ่าตาย เธอพยายามข้ามถนนไปช่วย แต่แอนนามีโรคประจำตัว ‘Ombrophobia’ (โรคกลัวฝน) ทำให้เธอนอนหมดสติอยู่ริมถนนเสียก่อน

เหตุการณ์ที่กล่าวไปอยู่ใน 2 เอพิโซดแรกเท่านั้น นั่นหมายถึงในอีก 6 เอพิโซดที่เหลือจะเป็นเรื่องราวของการที่แอนนาตามคลี่คลายปริศนาฆาตกรรมด้วยตัวเธอเองและนำไปสู่การเฉลยในตอนจบ แต่ที่ซับซ้อนยิ่งกว่านั้นก็คือมีการปูพื้นฐานตัวละครหลักอย่างแอนนาไว้ว่าเธอมีอาการจิตหลอนจากการสูญเสียลูกสาว บวกกับพฤติกรรมที่ชอบดื่มไวน์กับยา นั่นหมายถึงในคืนนั้นแอนนาอาจจะเมาไวน์และเพ้อฝันถึงภาพที่เห็นลิซ่าถูกฆาตกรรมไปเองก็เป็นได้ 

การที่มินิซีรีส์ชุดนี้มีตัวละครดำเนินเรื่องอยู่ไม่กี่ตัว และมีแอนนาเป็นคนเดินเส้นเรื่องทั้งหมด ทำให้พล็อตเรื่องไม่ซับซ้อน เข้าใจง่าย โดยผู้กำกับ ไมเคิล เลห์แมนน์ (Michael Lehmann) ที่เคยมีงานโดดเด่นในปลายยุค 80s – 90s อย่าง ‘Heathers’ (1989) และ ‘Hudson Hawk’ (1991) ใช้วิธีเล่าเรื่องให้คนดูตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับตัวละครแอนนา ได้เห็นภาพเดียวกับเธอ คนดูเองก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่เราเห็นนั้นเป็นเรื่องจริงหรือภาพฝัน และไม่แน่ใจแม้กระทั่ง “หรือเราเองที่เป็นฆาตกร”

คริสเทน เบลล์ ทำหน้าที่ได้ดีในการแบกหนังไว้ทั้งเรื่อง เราเห็นและตัดสินทุกอย่างผ่านสายตาของแอนนา การแสดงของเบลล์สามารถปั่นหัวให้คนดูทั้งแอบเอาใจช่วยและแอบสงสัยเธอในเวลาเดียวกัน เช่นเดียวกับนักแสดงสมทบคนอื่น ๆ ทุกคนที่เป็นได้ทั้งผู้บริสุทธิ์และผู้ต้องสงสัยตามสูตรหนังแนวนี้ 

การที่มินิซีรีส์มีความยาวแค่ตอนละ 20 นาทีกว่า ๆ ทำให้การดำเนินเรื่องค่อนข้างกระชับ ไม่ค่อยสะเปะสะปะ เส้นเรื่องพุ่งตรงไปข้างหน้าว่าใครเป็นคนฆ่าลิซ่า หรือลิซ่าเสียชีวิตจริงหรือเปล่า การแฟลชแบ็กความหลังหรือภาพในความฝันของตัวละครเป็นระยะอาจจะสร้างความรำคาญอยู่บ้าง แต่นั่นก็เป็นการตั้งใจนำเสนอปมในอดีตของตัวละครที่ส่งผลต่อจิตใจหรือพฤติกรรม และเป็นการปั่นหัวคนดูไปในขณะเดียวกัน

แน่นอนว่าเอพิโซดสุดท้ายสำคัญที่สุดและเป็นการเฉลยปมปริศนาทุกอย่าง ซึ่งคนดูที่ติดตามมาตลอด 7 ตอน ก็ย่อมคาดหวังจะได้พบกับตอนจบที่หักมุมและการเฉลยปมฆาตกรรมที่ร้องว้าว… แล้วคนดูก็ได้ว้าวสมใจกับจุดหักมุมที่เรียกได้ว่าเกินความคาดหมาย ซึ่งมีทั้งความ “อึ้ง” ปนกับความ “อิหยังวะ” และการหักมุมชนิดที่เรียกว่า “ล้มคว่ำคะมำหงาย” นี่แหละ เป็นสิ่งที่ทำลายเรื่องราวและรายละเอียดเล็กน้อยที่สอดแทรกเข้ามาตลอดทั้ง 7 ตอน ยิ่งไปกว่านั้นยังขาดความน่าเชื่อถือและสมเหตุสมผลอย่างสิ้นเชิง

อีกนัยหนึ่ง ‘The Woman in the House Across the Street from the Girl in the Window’ ก็ไม่ได้นำเสนอออกมาในแนวทริลเลอร์หนัก ๆ ตั้งแต่ต้น แต่แอบแทรกความเป็นตลกร้าย (Dark Comedy) หรือตลกร้ายอยู่กลาย ๆ ซึ่งหากมองในมุมนี้ หนังอาจจะตั้งใจล้อเลียนและประชดประชันหนังฆาตกรรมแนวนี้ก็เป็นได้ เผลอ ๆ อาจทำให้คนจดจำง่ายกว่าหนังที่จบตามสูตรเดิม ๆ