หนังสงครามร่วมรุ่นกับ Saving Private Ryan ที่ฉายปีเดียวกัน เข้าชิงออสการ์เคียงกันในหลายรายการ ซึ่งก็่ถือว่าหนังทั้งสองเรื่องล้วนมีดีกันคนละแบบครับ
ผมนิยามว่าเรื่องนี้เป็นหนังสงครามภาพสวย ที่มีจุดเด่นมากๆ ในเรื่องภาพธรรมชาติที่งดงาม ไม่บ่อยครับที่เราจะได้เห็นหนังสงครามที่มีฉากทหารค่อยๆ ลัดเลาะไปในพงหญ้าหนาทึบ ซึ่งได้อารมณ์ไปอีกแบบ
ดูแล้วก็รู้สึกสะเทือนสะท้อนใจไม่น้อยเหมือนกันครับ เพราะท่ามกลางภาพสวยงามของต้นไม้ใบหญ้าที่ลู่ไปตามลม เราก็จะได้เห็นภาพการฆ่าฟันอันโหดร้ายของสงคราม
สาระหลักของหนัง ก็คือการประกาศให้เรารู้อีกครั้งครับ ว่าสงครามมันไม่ได้ให้อะไรเลยนอกจากความเจ็บปวดและสูญเสีย มีคนมากมายต้องตายและต้องฆ่ากัน อีกทั้งมันจะเป็นดั่งยาพิษที่จะไหลเวียนอยู่ในใจของทหารอีกหลายๆ นาย
ที่ใช้คำว่า “อีกครั้ง” ก็เพราะมีหนัง, หนังสือ, สื่อ, ประวัติศาสตร์ ฯลฯ มากมายเหลือเกินที่บอกย้ำให้เรารู้ถึงประเด็นเหล่านี้
มีฉากหนึ่งที่ผมว่าหนังสื่อได้ตรงดี คือตอนที่นายทหารชั้นผู้ใหญ่อย่างกอร์ดอน ทอล (Nick Nolte) สั่งให้ผู้กองเจมส์ สตารอส (Elias Koteas) บุกยึดเป้าหมายให้ได้ โดยไม่สนคำทัดทานของผู้กองที่บอกว่ามันคือการส่งทหารไปตายชัดๆ จนผู้กองขัดคำสั่ง และยืนกรานว่าจะไม่ส่งใครไปตายเด็ดขาด
แต่กระนั้นกอร์ดอนก็ยังสั่งให้ผู้กองปฏิบัติตามครับ… มันสะท้อนความจริงเลยนะ ทหารชั้นผู้น้อยตายเป็นใบไม้ร่วง แต่ชั้นผู้ใหญ่อยู่บนที่ปลอดภัย แล้วสั่งการแบบไม่ลืมหูลืมตา
สำหรับผม ผมชอบครับ แม้จังหวะหนังจะเนิ่บมากก็ตาม แต่ผมชอบหนังที่มีภาพธรรมชาติสวยๆ อยู่แล้ว เลยรู้สึกอิ่มระหว่างดู ขณะเดียวกันในแง่การนำเสนอความโหดร้ายของสงครามได้อย่างน่าพอใจทีเดียว
อีกอย่างคือดาราเยอะดีครับ แม้จะโผล่กันคนละนิดละหน่อย แต่ก็ถือว่าเป็นจุดที่ดึงดูดผู้ชมได้ดี
ผมเชื่อว่าหลายคนจะเบื่อหนังเรื่องนี้ครับ เพราะมันเนิ่บ เหมือนเป็นหนังสงครามชมนกชมไม้ ไม่ได้เร้าใจหรือมีการบีบสถานการณ์ให้เกิดดราม่า ดังนั้น หนังเรื่องนี้ไม่ได้เหมาะสำหรับทุกคนครับ
แต่หากใครชอบภาพธรรมชาติสวยๆ ภาพใบหญ้าสูงท่วมหัว, ภาพแมกไม้และทิวเขาล้อเล่นลม ฯลฯ ผมเชื่อว่าหนังเรื่องนี้จะจุใจสำหรับท่านแน่นอนครับ
สามดาวครับ
(8/10)