The Pledge ถือเป็นหนึ่งในหนังที่จบได้ขัดใจครับ นี่ขนาดดูมาแล้วหลายวันบทสรุปของหนังยังอยู่ในหัวผมอยู่เลย ซึ่งเดี๋ยวก็ต้องมีการสปอยล์แน่นอน แต่ก่อนจะถึงจุดนั้นก็ขอเล่าแบบไม่สปอยล์ก่อนนะครับ เดี๋ยวถ้าจะสปอยล์เมื่อไรแล้วจะบอกอีกทีครับ
หนังเล่าถึงเรื่องของผู้หมวดเจอร์รี่ แบล็ค (Jack Nicholson) นายตำรวจที่กำลังจะเกษียณ แต่แล้วก็เกิดคดีฆาตกรรมเด็กหญิงคนหนึ่งอย่างโหดเหี้ยม เขากับทีมเลยต้องควานหาตัวฆาตกร แม้ว่าสืบไปสักพักตำรวจจะจับผู้ต้องสงสัยมาได้ แต่ลึกๆ แล้วเจอร์รี่ก็ยังรู้สึกครับว่าผู้ต้องสงสัยที่โดนจับมาอาจไม่ใช่ฆาตกรตัวจริง เขาเลยยังเดินหน้าสืบต่อไป
จุดที่ถือว่าเข้าท่าของหนังคือมีดารามาร่วมจอเยอะอยู่ครับ ไม่ว่าจะ Nicholson, Benicio Del Toro, Patricia Clarkson, Aaron Eckhart, Helen Mirren, Costas Mandylor, Tom Noonan, Robin Wright, Vanessa Redgrave, Mickey Rourke, Sam Shepard, Lois Smith, Harry Dean Stanton นอกจากตัวหลักอย่าง Nicholson แล้ว รายอื่นๆ ก็มาร่วมแสดงแบบน้อยบ้าง มากบ้าง โดยการที่แต่ละคนโผล่มาก็ทำให้หนังดูน่าสนใจพอสมควร
หนังกำกับโดย Sean Penn ครับ โดยนี่เป็นโปรเจคท์ที่เขาหมายมั่นอยากทำมากๆ ครั้นมาเจอกับ Nicholson ซึ่งก็สนใจโปรเจคท์นี้เหมือนกัน ทั้งคู่เลยร่วมกันเอาโปรเจคท์ไปนำเสนอตามค่ายหนังต่างๆ แต่ไม่มีใครสนใจเลยครับ จนกระทั่งพวกเขาได้มาเจอกับ Elie Samaha เจ้าของค่าย Franchise Pictures ซึ่งเขาก็สนใจนะ แต่ติดอยู่อย่างหนึ่งคือเรื่องงบสร้างครับ
Samaha เสนอว่าเขาจะรับสร้างหนังเรื่องนี้ แต่ขอให้ทั้ง Penn และ Nicholson ลดค่าตัวลงหน่อย ซึ่งทั้งคู่ก็ตกลงครับ โดยมีข้อแม้ว่า Penn จะต้องได้รับสิทธิ์ขาดในการสร้างสรรค์รวมถึงการคัดเลือกคนมาแสดง แล้วโปรเจคท์ก็เดินหน้าไปได้
สิ่งหนึ่งที่อยากให้ทราบกันก่อนคือหนังออกแนวดราม่าเป็นหลักครับ เพราะหากอ่านเรื่องย่อเพียวๆ แล้วหลายท่านอาจคิดว่าหนังจะมาในแนวสืบสวนตามปมไขคดีล่าฆาตกร แต่เปล่าครับ หนังไม่ได้ดำเนินไปในทิศทางนั้น แก่นหลักของหนังคือการบอกเล่าเรื่องราวชีวิตของเจอร์รี่ที่ต้องเกษียณ ออกจากการเป็นตำรวจ แล้วเขาก็มาเริ่มต้นชีวิตใหม่หลังเกษียณในเมืองใหม่ ซึ่งก็เป็นเมืองที่เขาสงสัยว่าฆาตกรอาจอยู่ที่นี่ เขาก็เลยเริ่มต้นชีวิตใหม่ไปพลาง ทำความรู้จักชาวเมืองไปพลาง แล้วก็ตามร่องรอยฆาตกรไปพลาง
หนังเดินเรื่องแบบเรื่อยๆ ครับ ไม่ได้เร่งเร้าอะไร อย่างที่บอกน่ะครับว่าเน้นดราม่า ซึ่งสิ่งที่โอบอุ้มหนังไว้ได้หลักๆ คือการแสดงของ Nicholson บวกด้วยดารารายอื่นๆ ที่ผลัดกันมาขึ้นจอ สำหรับผมหนังดูได้เรื่อยๆ ก็เพราะแบบนี้แหละครับ ดู Nicholson แสดงไป แล้วก็ลุ้นว่าฉากต่อไปจะได้เจอดาราคนไหนอีกไหม ในขณะที่ด้านเนื้อหานั้นถือว่าเรื่อยๆ ไม่ได้เด่นจัดๆ แต่ก็ไม่ได้ไร้แก่นสารหรือไร้ทิศทาง มันมีประเด็นและเรื่องราวให้เราตามอยู่
แต่ก็ต้องขึ้นกับท่านด้วยครับ หากไม่ชอบแนวดราม่า ไม่ชอบหนังที่เดินเรื่องเรื่อยๆ แบบกินบรรยากาศ แบบนิยายเปิดไปทีละหน้า หนังก็อาจไม่เข้าทางสำหรับท่านก็เป็นได้
ในขณะที่องค์ประกอบอื่นๆ ของหนังถือว่าดีครับ ดนตรีประกอบได้ Klaus Badelt และ Hans Zimmer มาทำ ผลที่ได้ก็ถือว่าได้อารมณ์ ท่วงทำนองได้ความรู้สึกแบบคนๆ หนึ่งที่ดำเนินชีวิตไปเรื่อยๆ หลังเกษียณ มีความเป็นคันทรี่นิดๆ เมื่อมารวมกับภาพของเมืองชนบทที่เต็มไปด้วยป่าเขาแบบในเรื่อง ก็ยิ่งเข้ากันครับ
หนังได้ตากล้อง 2 รางวัลออสการ์ (จากเรื่อง The Killing Fields และ The Mission) Chris Menges มากำกับภาพครับ งานภาพก็ถือว่าจับอารมณ์ฉากนั้นๆ ได้ดี ฉากไหนอยากให้อึดอัด ภาพกก็กดเราให้รู้สึกเหมือนอยู่ในมุมแคบๆ ส่วนฉากไหนอยากให้โปร่งๆ โล่งสบาย แบบสารพัดฉากตอนเจอร์รี่ไปตกปลากลางลำน้ำ เราก็จะได้เห็นวิวสวยๆ ฟ้าโปร่งๆ
จริงๆ หนังถือว่าทำได้ไม่เลวสำหรับแนวทางของมันครับ ไม่ถึงกับสุดยอด แต่ก็โอเค แต่ตัวหนังเองก็ไม่ประสบความสำเร็จทางรายได้ หนังลงทุนราวๆ $35 ล้าน แต่ได้คืนมาราว $29 ล้านจากทั่วโลก ก็นับว่าเข้าเนื้อครับ
อีกอย่างคือได้ข่าวว่าหนังเองโดนตัดงบระหว่างถ่ายทำ คือพอดีปีนั้น Franchise Pictures มีโปรเจคท์หนังฟอร์มยักษ์เรื่องหนึ่งที่เกิดเจ๊งตอนออกฉาย หนังเรื่องนั้นมีนามว่า Battlefield Earth ครับ ลงทุนไป $73 ล้าน แต่ทำเงินเพียง $29 ล้านเท่านั้น พอหนังเจ๊งทางค่ายก็เลยสะเทือนครับ ทำให้หนังเรื่องนี้พลอยโดนหางเลข โดยหั่นงบลงด้วย ทำให้หลายฉากหลายตอนในสคริปไม่ได้ถ่ายทำ
=======================
=======================
เอาล่ะ ผมว่าผมกำลังจะเข้าโซนสปอยล์แล้ว
ไม่อยากทราบไม่ควรอ่านต่อนะครับ
=======================
=======================
ผมค่อนข้างโอเคกับหนังครับ อาจไม่ถึงกับชอบจัดๆ แต่ก็รู้สึกว่าหนังคุ้มค่าน่าดู เพราะชอบเหล่าดาราที่มาร่วมจอก็อย่างหนึ่งล่ะ สไตล์หนังก็คล้ายๆ เปิดนิยายอ่านไปทีละหน้าซึ่งก็เข้าทางผมอีกเหมือนกัน และยอมรับเลยว่า Nicholson แกเอาอยู่ครับ เขาทำให้เรารู้สึกผูกพันไปกับชีวิตของเจอร์รี่ ชายคนนี้อาจไม่ใช่คนที่สมบูรณ์แบบอะไร แต่ก็ถือเป็นคนดี มีน้ำใจ และมีความมุ่งมั่น ดังนั้นพอหนังดำเนินไปแล้วคนที่อยู่เพียงลำพังอย่างเขาได้มีคนอื่นๆ มาร่วมชีวิต อย่างการมาของ 2 แม่ลูก ก็ทำให้เรารู้สึกดีใจกับเขาด้วย ที่ชีวิตเขาเหมือนจะได้รับอะไรดีๆ กับเขาบ้าง
แล้วตอนจบมันขัดใจยังไงน่ะเหรอครับ ก็หนังลงเอยด้วยการที่เจอร์รี่เจอเงื่อนงำสำคัญเมื่อรู้ว่าฆาตกรรายนั้นอาจกำลังหมายตาคริสซี่ (Pauline Roberts) ลูกสาวของลอรี่ (Robin Wright) ที่อยู่กินกับเขา เขาก็ตัดสินใจที่จะใช้คริสซี่เป็นเหยื่อล่อให้ฆาตกรโผล่มา แล้วหมายจะจัดการมัน
กลายเป็นว่าตอนจบคือฆาตกรไม่มาครับ (เพราะมันรถคว่ำตายระหว่างกำลังขับรถมาเพื่อหาคริสซี่) ใครๆ เลยพากันมองว่าเจอร์รี่หมกมุ่นเรื่องพวกนี้มากไป และมองเขาเป็นเหมือนตัวตลก ส่วนลอรี่จากเดิมที่เคยคิดจะอยู่กินกับเจอร์รี่ พอรู้ว่าเขาใช้คริสซี่เป็นเหยื่อก็เลยโกรธจัด และออกจากชีวิตเจอร์รี่ไป
สุดท้ายเจอร์รี่ก็กลายเป็นคนเสียสติ พร่ำบ่นพูดคนเดียวอยู่ในปั้มน้ำมันของเขาถูกปิดตัวลง
จบแบบนี้ก็แอบเฮิร์ทนะครับ เพราะหนังน่ะทำให้เรารู้สึกผูกพันกับเจอร์รี่พอสมควร เพราะเราได้เห็นเขาใช้ชีวิต ได้เห็นเขาทำอะไรมากมาย ซึ่งก็อย่างที่บอกน่ะครับว่าเขาไม่ใช่คนไม่ดี เขาเป็นคนดีคนหนึ่งเลยล่ะ เขาช่วยลอรี่ให้พ้นจากสามีที่ชอบตามมาทำร้าย เขาเลี้ยงคริสซี่เหมือนเป็นลูกในไส้ และเขาก็ตั้งใจจะจับฆาตกรเพื่อหยุดยั้งไม่ให้มันมาฆ่าเด็กคนอื่นๆ อีก แต่สุดท้ายเขากลับสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างแม้กระทั่งสติของตัวเอง
หนังก็เปิดประตูให้เรามองเรื่องนี้ในหลายแง่อยู่ครับ บางคนอาจมองว่าเจอร์รี่ผิดที่ไปใช้ลูกคนอื่นมาเป็นเหยื่อ ไม่ยอมบอกแม่ของเด็กก่อน ทำแบบนั้นก็เกินไป อันนี้มุมหนึ่งนะครับ – ในขณะที่บางคนก็อาจมองว่าเจอร์รี่ทำถูกแล้ว ไม่วางกับดักล่อเหยื่อ แล้วจะจับฆาตกรได้ยังไง นี่ก็อีกมุมหนึ่ง ซึ่งทั้งสองมุมจะหาเหตุผลมาสนับสนุนหรือหาแง่มุมมาหักล้างก็ทำได้ทั้งสิ้น แล้วแต่ว่าใครจะลองในมุมไหน – หรือจะเลือกมองแบบเข้าใจทั้งสองมุมก็ได้อีกเช่นกัน
ส่วนผมก็อย่างที่เกริ่นไปข้างต้นครับ มันรู้สึกขัดใจ เพราะเจอร์รี่ก็ถือเป็นคนดีคนหนึ่ง แต่สุดท้ายต้องมาลงเอยแบบนี้ก็น่าเห็นใจอยู่ แต่ก็เข้าใจแหละที่ลอรี่จะโกรธ จนอดคิดไม่ได้ว่าถ้าเจอร์รี่บอกลอรี่ก่อน เรื่องมันจะลงเอยแบบนี้ไหม หรือถ้าเจอร์รี่เลือกที่จะไม่ใช่แผนนี้ ชีวิตเขาก็อาจจะไม่ลงเอยแบบนี้
ในแง่หนึ่งหนังก็ทำให้เราตระหนักถึงความสำคัญของการเลือกน่ะนะครับ ไม่ว่าเราจะเลือกอย่างตั้งใจหรือไม่ คิดดีครบมุมหรือไม่ ยังไงเราก็จะต้องได้รับผลจากการเลือกนั้น ไม่สามารถขอ Undo แล้วเลือกใหม่ เพราะชีวิตจริงนั้นไม่ใช่เกมที่จะ Undo ได้
อีกสิ่งหนึ่งที่ตระหนักก็คือ มันเป็นไปได้ครับที่เราจะตกอยู่ในสภาวะที่ความซวยมารุมทึ้ง สารพัดสิ่งประจวบเหมาะให้เคราะห์กรรมมันย่ำเหยียบเราซ้ำๆ หรือพูดง่ายๆ ว่า “พอดีซวย” นั่นเป็นสภาวะที่ย่ำแย่และอาจจะเกินทน แต่อย่างไรแล้วหากเรายังพอจะพยายามรวบรวมสติได้ เราก็อาจจะยังพอแก้ไขสถานการณ์ให้มันแย่น้อยลง ร้ายน้อยลง หรือซวยน้อยลง
หลังดูหนังเรื่องนี้จบ ทำให้ผมทบทวนในประเด็นเหล่านี้อยู่พอสมควรครับ ก็เกิดคลื่นความคิดอันหลากหลาย อันหนึ่งก็คือสงสารเจอร์รี่นะ ไม่อยากให้เขาจบลงแบบนี้ แต่ในเมื่อมันเป็นไปแล้ว (ในหนัง) ก็ได้แต่ยอมรับ และขณะเดียวกันเราก็สามารถเอาสิ่งที่เจอร์รี่ประสบมาเป็นบทเรียนชีวิต มาย้ำเตือนอะไรบางแง่บางมุมระหว่างเดินทางบนเส้นทางชีวิตของเรา นั่นคือเตือนสติ เตือนให้เราฝึกสติ เตือนให้เรามีสติ เพราะเราไม่มีวันรู้หรอกครับว่า “เราเคยเจอกับวันซวยที่สุดในชีวิตแล้วหรือยัง?” – ถ้ายัง ก็ควรเตรียมพร้อมรับมือ
โดยรวมแล้วผมโอเคกับหนังครับ และรู้สึกขอบคุณในสาระแง่คิดที่ได้ ก็ไม่รู้หรอกครับว่ามันจะตรงกับที่หนังอยากสื่อไหม แต่ผมได้แง่คิดอันนี้มา และเชื่อว่าถ้าใช้ดีๆ ก็น่าจะเป็นประโยชน์กับชีวิต ยังไงก็ต้องขอบคุณหนังนั่นแหละ เพราะถ้าไม่ได้ดูก็คงไม่ได้คิด
สรุปว่าสองดาวครึ่งได้ครับ
(7/10)