The King’s Man – กำเนิดโคตรพยัคฆ์คิงส์แมน

The King’s Man – กำเนิดโคตรพยัคฆ์คิงส์แมน
— 5/10 —
หนังป๊อปคอร์นเอาไว้ดูขั้นเวลาเท่านั้น
โทนหนังจริงจังแต่ขาดเสน่ห์ความเป็น King’s Man

หลังจากประสบความสำเร็จอย่างยอดเยี่ยมกับ Kingsman: The Secret Service (2014) กับหนังสายลับที่มีเทคโนโลยีไฮเทคพร้อมด้วยการถ่ายทำมุมกล้องเทคนิคต่าง ๆ ที่น่าตื่นตาตื่นใจเพลิดเพลินใจไม่ใช่เล่น รวมถึงทีมนักแสดง ที่ทุกอย่างนั้นล้วนเป็นหนังที่มีเสน่ห์ ก็ได้ก่อกำเนิดภาคสอง Kingsman: The Golden Circle ที่อาจจะดร็อปด้านเนื้อเรื่องและอื่น ๆ ลงไป แต่ยังคงมีกลิ่นอายและเสน่ห์ต่าง ๆ เอาไว้ จนล่าสุดได้สร้างภาค 3 ออกมาที่เล่าเรื่องราวย้อนต้นไปยังการก่อตั้งองค์กร Kingsman กับ The King’s Man เรื่องนี้นี่แหละ

The King’s Man บอกเล่าเรื่องราวอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 กับการช่วยโลกให้รอดพ้นยุติสงครามก่อนที่มันจะเลวร้ายไปมากกว่านี้

จากภาคก่อน ๆ ที่มีความตลกอารมณ์ดี ในภาคนี้กลับกัน มาในโทนขึงขังจริงจัง ส่วนเนื้อเรื่องไม่ได้มีอะไรซับซ้อนเลย กลุ่มตัวเอก หาทางหยุดยั้งแผนการชั่วร้ายของฝั่งตัวร้าย มีจุดที่เล่นเอาคนดูอึ้งไปเหมือนกัน แต่มันก็ไม่ได้ส่งผลอะไรกับหนังต่อมาสักเท่าไหร่เลย กลายเป็นจุดที่เปล่าประโยชน์ใช่เล่น เอาจริง ๆ ถ้าพูดถึงซีนแรก ๆ ของหนังการกระทำต่อมาก็ดูเปล่าประโยชน์กับตัวละครบางตัวด้วยซ้ำ พอถึงฉาก Last Boss ก็ไม่ได้ทำให้คนดูว้าวเลยแม้แต่น้อย มันธรรมดามาก ๆ

เสน่ห์ที่เราเคยเห็นมาใน 2 ภาคแรก กับฉากการต่อสู้อันหวือหวา ตื่นตาตื่นใจ เช่นฉากในโบสถ์, ฉากในบาร์เหล้าของภาคแรกหรือฉากไล่ล่าบนรถภาค 2 แต่ในภาคนี้มันไม่มีฉากอะไรแบบนั้นเลย มีฉากแอ็คชันน้อยมาก แถมแต่ละฉากที่ปรากฏมาก็เป็นแค่ฉากแอ็คชันธรรมดา ไม่ได้โดดเด่นหรือใกล้เคียงที่ผ่านมาได้เลยแม้แต่น้อย 

สรุปแล้ว The King’s Man กลายเป็นหนังขั้นเวลา รอคอยภาคต่อไปของ Kingsman หลัก พร้อมกับภาวนาว่าภาคต่อไปมันจะดีขึ้น และเรื่องราวในภาคนี้ก็เหมือนจะปูให้มีภาคต่ออีกด้วย หากใครสงสัยว่าถ้าไม่ดูจะพลาดอะไรไหม ตอบได้ว่านิดเดียว แทบไม่ได้มีจุดเชื่อมใด ๆ มีเพียงสถานที่ที่คุ้นเคยคุ้นตาเท่านั้น คือจะดูหรือไม่ดูก็ได้ ไม่ได้เสียหายหรือเสียดายอะไรขนาดนั้น