เหตุการณ์ที่เนปาล ทำให้ผมหยิบเรื่องนี้มาดูอีกครั้งครับ
The Impossible เล่าถึงครอบครัวที่ประกอบด้วยพ่อ (Ewan McGregor) แม่ (Naomi Watts) และลูกชาย 3 คน (Tom Holland, Samuel Joslin และ Oaklee Pendergast) เดินทางมาเที่ยวช่วงคริสต์มาสที่เขาหลัก จ.พังงา แล้วก็ประสบกับภัยซึนามิจนพวกเขาต้องพลัดพรากจากกัน
หนังภัยพิบัติส่วนมากจะนำเสนอภาพการทำลายล้างที่ยิ่งใหญ่เพื่อขาย Effect แต่เรื่องนี้รสชาติแตกต่างออกไปครับ เพราะหนังเลือกจะนำเสนอแบบสมจริง โฟกัสมาที่ครอบครัวนี้อันทำให้เราเห็นภาพความทุกข์ทรมานของผู้ประสบภัยได้ชัดเจนยิ่ง หลายฉากทำเอาเราเจ็บตาม บางฉากก็กดดันหรือดีใจจนแทบจะร้องไห้ตามตัวละครไปเลย เรียกว่าดึงอารมณ์ร่วมของเราให้จมลงไปในหนังได้อย่างดีทีเดียวครับ
การเล่าเรื่องจัดว่าน่าจดจำมากครับ ดูเป็นการเล่าแบบไปเรื่อยๆ ไม่เร่งเร้าอะไร แต่น่าติดตามอย่างมาก ซึ่งนักแสดงในเรื่องก็คัดมาเด็ดมากๆ ครับ Watts ดูโดดเด่นมากๆ การแสดงของเธอตรึงคนดูได้อยู่หมัดทีเดียว เช่นเดียวกับ Holland ในบทลูคัส ลูกชายคนโตที่มีส่วนเสริมความน่าติดตามให้กับหนังได้อย่างน่าปรบมือ และที่ลืมไม่ได้ก็คือ McGregor ครับ รายนี้เล่นดีเสมออยู่แล้ว
ในเรื่องยังมีดาราชาวไทยรวมแสดง อาทิเช่น คุณพลอย จินดาโชติ และคุณโกวิท วัฒนกุลซึ่งก็แสดงได้ดีตามที่บทจะอำนวยครับ อย่างคุณโกวิทนี่อาจปรากฏตัวไม่มาก แต่ท่าทางสีหน้าตอนแสดงก็ถือว่าน่าจดจำไม่น้อย ในขณะที่คุณพลอยนี่ถือว่าถ่ายทอดบทนางพยาบาลท่ามกลางความวุ่นวายหลังภัยพิบัติได้พอเหมาะเช่นกันครับ
ฉากซึนามิก็สมจริงจนน่ากลัวครับ เอาแค่ฉากน้ำซัดก็สามารถซัดคนดูเข้าสู่เหตุการณ์ในหนังได้อย่างชะงัดแล้ว พล็อตดราม่าในเรื่องก็ร้อยเรียงเหตุการณ์ได้ดีจนเราอิน ถือเป็นหนังที่ทำได้ลงตัวมากๆ อีกเรื่องหนึ่งครับ
ดูแล้วก็ชวนให้คิดครับ ว่านี่คงไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่มนุษย์ต้องเผชิญกับภัยธรรมชาติ อีกทั้งการระวังป้องกันหลีกเลี่ยง เราก็คงทำได้เพียงระดับหนึ่งเท่านั้น
และเมื่อถึงนาทีวิกฤตินั้นแล้ว ทางรอดสำคัญที่จะนำพาแต่ละชีวิตให้รอดพ้นจากสถานการณ์นั้น นอกจากต้องพึ่งพาตนเองแล้ว มนุษย์ยังต้องพึ่งพากันและกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลต่อกัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยบรรเทาความเสียหายได้ไม่มากก็น้อยครับ
ผมไม่ปฏิเสธครับว่ามุมที่หนังนำเสนอ อาจมีด้านดีมากกว่า มีด้านแห่งความหวังมากกว่า เช่นเราอาจได้เห็นคนที่มีน้ำใจต่อกันมากกว่าจะมาเห็นแก่ตัว หรือบางสถานการณ์ก็ดูบังเอิญไปบ้าง แต่สำหรับผมแล้ว มันขึ้นกับว่าคนทำเขาอยากให้เราเห็นอะไร เพราะในสถานการณ์จริงแล้ว มันก็มีทั้งมุมที่ดีและมุมที่ไม่ดีปะปนกัน มันอยู่ที่เราเลือกจะมอง
ขนาดคน 2 คนอยู่ในสถานการณ์เดียวกันยังอาจมีความเห็นต่อเรื่องนั้นๆ ต่างกันไป (เหมือนเรื่องน้ำครึ่งแก้วน่ะครับ บางคนมองว่า “มันมีตั้งครึ่งแก้ว” แต่บางคนมองว่า “มันเหลือแค่ครึ่งแก้ว”) ดังนั้นจึงไม่แปลกหากเรื่องราวเดียวกันจะถูกมองได้หลายมุม
แต่อย่างไรก็ดี ผมก็ชอบหนังเรื่องนี้ครับ ชอบมากทีเดียว อาจเพราะผมชอบมองอะไรๆ ในมุมแบบที่หนังนำเสนอน่ะครับ มันเลยเข้าแก๊ปพอดี
เป็นอีกหนึ่งหนังดีที่คุ้มค่าน่าดูครับ ^_^
สามดาวครับ
(8/10)