และก็มาถึงอีกหนึ่งหวังรางวัลประจำปีนี้ที่เราอยากจะดูและลิ้มลองมาก ๆ เลยเกิน เพราะนี่คือเรื่องในตำนานที่ได้ตำนานมาเป็นผู้บรรเลงขับขานด้วยตัวเอง และนี่คือ “The Fabelmans” หนังชีวิตของพ่อมดฮอลลิวูดในช่วงวัยเยาว์อันเต็มไปด้วยรสชาติและสีสันมากมาย ทั้งความฝัน ความรัก ความหวัง และความทะเยอทะยาน ชีวิตจริงอาจจะไม่เหมือนในหนัง แต่บัดนี้เขาได้เอาชีวิตมาเป็นหนังที่ตัวเองสามารถออกมาได้สำเร็จ
นี่คือเรื่องที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากชีวิตวัยเด็กของพ่อมดฮอลลิวูด สตีเวน สปีลเบิร์ก กับฉากหลังในรัฐแอริโซนา ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ชีวิตของเด็กชายที่ชื่อ แซมมี่ ฟาเบิลแมน ที่ได้ค้นพบความน่าหลงใหลของโลกแห่งภาพยนตร์ หลังจากที่เขากับครอบครัวได้ไปชมหนังคลาสสิก The Greatest Show On Earth อีกทั้งเขายังได้พบกับความลับของครอบครัวที่กำลังแตกสลาย เขาจึงใช้เวลาอันสำคัญของวัยเด็กไปกับการสร้างภาพยนตร์ของตัวเองขึ้นที่บ้าน ด้วยแรงสนับสนุนและผลักดันอย่างแรงกล้าจากแม่ของเขา
คงจะต้องบอก..แบบไม่กลัวว่าใครจะหาว่าโอเวอร์เลยว่า นี่คือช่วงเวลา 2 ชั่วโมงครึ่งที่เต็มไปด้วยมนต์ขลังและอบอวลไปด้วยบรรยากาศฟุ้งฝันที่มาจากสัตย์จริง เป็นหนังเรื่องยาวที่เราแทบจะละสายตาไปจากหน้าจอไม่ได้เลย ไม่มีแม้แต่อาการปวดเข้าห้องน้ำระหว่างที่นั่งชมหนังเรื่องนี้ มนต์เสน่ห์ของหนังเรื่องนี้มัดหัวใจคนดูเอาไว้ได้อยู่หมัด เพราะชีวิตและเรื่องราววัยเด็กของพ่อมดฮอลลิวูดผู้นี้ช่างน่าดื่มด่ำและตราตรึงใจยิ่งแท้
แม้ว่าในทีแรกก็อาจจะมีคำถามตะหงิด ๆ ติดอยู่ในใจบ้างว่า หนังชีวประวัติวัยเด็กของสตีเวน สปีลเบิร์ก แต่ตัวเองก็ยังมาสร้างเองอีกเนี่ยนะ..มันจะเป็นหนังโฆษณาชวนเชื่อไปหรือเปล่า? แต่เมื่อได้มาสัมผัสดู The Fabelmans ด้วยตาตัวเองแล้วนั้น ความคิดเห็นได้มลายหายไปในทันที เพราะสปีลเบิร์กก็คือคนที่เหมาะที่สุดที่จะมาร้อยเรียงเล่าเรื่องชีวิตครอบครัวของเขาเอง บนหนังที่สร้างมาจากตัวละครที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับประสบความสำเร็จได้อย่างทุกวันนี้
The Fabelmans เป็นหนังที่หยิบและอ้างอิงจากชีวิตสปีลเบิร์กมาเล่าแค่เพียงเสี้ยวเดียวด้วยซ้ำ เป็นเพียงช่วงชีวิตวัยเด็กจนถึงวัยรุ่น ก่อนที่เข้าจะย่างก้าวเข้าสู่เส้นอาชีพนักทำหนังอย่างเต็มตัว แต่ถึงแม้จะมีขอบเขตอยู่เพียงเท่านั้น แต่ทุก ๆ รายละเอียดแห่งวัยเยาว์ของเขาก็เต็มไปด้วยซอกซอยที่น่าค้นหา และเหตุการณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เด็กคนหนึ่งต้องเผชิญหน้าผ่านมา ทั้งประเด็นในครอบครัว การเข้ากับสังคมใหม่ และแนวคิดเกี่ยวกับศาสนา ที่เรารู้กันดีว่าเขาเติบโตมากับครอบครัวชาวยิว
และเมื่อสปีลเบิร์กมาเล่าเรื่องราวชีวิตของตัวเอง ดังนั้นก็ต้องเป็นเขาเท่านั้นที่รู้ดีที่สุด กว่าอะไรเป็นสิ่งที่เหมาะจะใส่เข้าในหนัง ดัดแปลงอะไรตรงไหนที่จะสร้างความบันเทิงให้กับคนดูได้บ้าง ทำให้บทหนังที่เขาร่วมเขียนกับ “โทนี่ คุชเนอร์” ในครั้งนี้ กลายเป็นหนึ่งในบทหนังที่เต็มไปด้วยจังหวะที่แสนคมคาย เต็มไปด้วยมิติมากมายที่สัมผัสถึงได้โดยตรงและนำไปคิดวิเคราะห์ต่ออีกในหลายมุม เป็นหนึ่งองค์ประกอบที่ค่อนข้างแข็งแกร่งของหนังเรื่องนี้ทีเดียว
ไม่เพียงเท่านั้น เทคนิคงานสร้างและองค์ประกอบต่าง ๆ ที่อยู่ในหนังนั้น สปีลเบิร์กก็จัดแจงออกมาได้สมกับเป็นมืออาชีพ นี่คือผลงานระดับคนทำหนังชั้นครูที่แท้ทรู งานกำกับของเขาออกมาแบบคมกริบ ทุก ๆ ซีนเต็มไปด้วยความเฉียบขาดและไร้เทียมทาน อีกทั้งยังมีงานโปรดักชั่นดีไซน์ที่เต็มไปด้วยลูกเล่นมากมาย เล่นกับมุมภาพ เล่นกับทิศทางแสง ทุก ๆ อย่างในหนังเรื่องนี้ช่างบรรจบใส่มาจากจินตนาการและวิสัยทัศน์ที่เป็นระดับโปร
ซึ่งเมื่อองค์ประกอบต่าง ๆ นำมาผนวกเข้ากับลีลาการแสดงของทีมนักแสดงชุดนี้ของ The Fabelmans แล้วนั้น มันยิ่งทวีคูณเพิ่มความทรงพลังให้กับตัวหนังได้อย่างเลี่ยงไม่ได้เลยจริง ๆ ทีมนักแสดงทั้งเรื่องนี้ถ่ายทอดออกมาได้มีกึ๋นมาก ๆ ที่ยืนหนึ่งมาเลยก็ต้องยกให้ “มิเชล วิลเลียมส์” แค่เห็นชื่อเธอคนนี้ก็ไว้วางใจได้เลย เพราะจ้างเธอแค่ร้อยแต่มักจะมอบการแสดงระดับล้านมาให้เสมอ ๆ และเรื่องนี้ก็เช่นเดียวกัน แม้จะมองดูเป็นบทง่าย ๆ แต่แฝงไปด้วยมิติทางอารมณ์ ความซับซ้อนทางความคิด ทั้งเปิดเผยและภายในใจ ต้องเป็นเธอคนนี้เท่านั้น…ที่จะทำได้ถึง
อีกคนที่ทำให้รู้สึกเซอร์ไพรส์ไม่น้อย ก็คือดาราหนุ่มดาวรุ่ง “แกเบรียล ลาเบลล์” ที่มารับบทเป็นตัวละครหลักของเรื่อง เพราะทีแรกคิดว่าหนุ่มคนนี้น่าจะไม่ต้องทำอะไรเยอะ เพราะมีรุ่นพี่ระดับเทพมาช่วยพยุงหนังเอาไว้ให้ได้ แต่ผลลัพธ์ที่ออกมากลายเป็นว่าเขาก็มีส่วนหลัก ๆ ที่ช่วยประคับประคองหนังเรื่องนี้ได้อย่างน่าทึ่งเช่นกัน การแสดงต้องยกนิ้วให้เลย ทั้งที่ชั่วโมงบินทางการแสดงอาจจะยังไม่ได้เยอะมาก แต่ซีนต่าง ๆ เขาสามารถรับมือได้อย่างเป็นมืออาชีพ และถ่ายทอดผ่านอารมณ์และท่าทางได้ดีกว่าที่คิดเอาไว้เยอะ
นอกจากนี้ นักแสดงสมทบคนอื่น ๆ ก็ปล่อยของออกมาได้ยอดเยี่ยมแทบจะทุกคน ไม่ว่าจะเป็น “พอล ดาโน” คนนี้ไม่ต้องพูดอะไรเยอะ เล่นดราม่าได้เก่งจัดอยู่แล้ว “เซ็ธ โรแกน” รวมไปถึง “จัดด์ เฮิร์สช์” ที่เป็นตัวตึงจัด ๆ ของหนังเรื่องนี้ ออกมาแค่แปบเดียว แต่สร้างความตราตรึงและทรงพลังได้เป็นอย่างดี แคสติ้งของหนังเรื่องนี้ถือว่าคัดเลือกออกมาได้อย่างเยี่ยมยอด และเป็นทีมเวิร์กที่ดีในการผนึกกำลังกันสร้างสรรค์ผลงานระดับเทพ
และแน่นอน The Fabelmans เป็นหนังที่มีความส่วนตัวของสปีลเบิร์กเป็นอย่างมาก แต่เขาก็กระเทาะเปลือกชีวิตตัวเองออกมาให้แฟนหนังได้สำรวจชีวิตที่ผ่านมาของเขาด้วยจังหวะที่ดี ซึ่งหนังเรื่องนี้เขาก็สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับบุคคลสำคัญในชีวิตวัยเด็กของเขา ผู้ซึ่งเป็นแรงผลักดันทำให้เขาประสบความสำเร็จได้อย่างทุกวันนี้ โดยหลัก ๆ เขาสร้างเพื่ออุทิศให้กับแม่และพ่อผู้ล่วงลับของเขา ผู้สนับสนุนเบอร์ใหญ่ที่คอยอยู่เบื้องหลังเสมอ ๆ ทำสิ่งที่เขาชื่นชอบ
ดังนั้น นอกจากจะได้ความบันเทิงและความอิ่มเอมใจกับการสำรวจชีวิตของ สตีเวน สปีลเบิร์ก ใน The Fabelmans เรื่องแล้วนั้น เชื่อเลยว่าผู้ชมน่าจะได้ข้อคิดและแนวคิดในการใช้ชีวิตจากเขาเป็นแรงบันดาลใจได้ไม่มากก็น้อย ความฝันไม่ใช่เรื่องเพ้อเจ้อ แต่เป็นเป้าหมายที่อยู่ที่ว่าเราจะมีแรงผลักดันไปแตะหรือไม่ และบัดนี้ตำนานนักแสดงสร้างก็ได้มาตีแผ่ตำนานของตัวเองออกมาให้โลกได้เห็น และมันก็จะยังเป็นตำนานไปอีกนาน…แสนนาน
ข้อมูลเกี่ยวกับหนัง The Fabelmans
- ประเภท: ดราม่า / ครอบครัว
- ผู้กำกับ: สตีเวน สปีลเบิร์ก
- นำแสดงโดย: มิเชลล์ วิลเลียมส์, พอล ดาโน, แกเบรียล ลาเบลล์
- ความยาว: 151 นาที
- กำหนดฉายในไทย: 2 กุมภาพันธ์ 2023 (ในโรงภาพยนตร์)
Movie.TrueID METRIC: The Fabelmans
- ภาพรวม
⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐✰ (9/10) - การเล่าเรื่อง
⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐✰✰ (8/10) - การแสดง
⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐✰ (9/10) - เทคนิคงานสร้าง
⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐✰ (9/10) - บทภาพยนตร์
⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐✰✰ (8/10)
————————————-