Stranger Things Season 4 (2022) สเตรนเจอร์ ธิงส์ ปี 4

Untitled07911

นั่งดู Stranger Things ปี 4 จบตั้งแต่เย็นวันศุกร์ที่ลงสตรีม 2 ตอนสุดท้ายครับ ตอนแรกกะดูจบแล้วจะร่ายเลยแบบที่ทำทุกปี แต่พอดูจบปีนี้แล้วก็บังเกิดความรู้สึกหลากหลายผสมอยู่ในใจ จนผมตัดสินใจทิ้งความรู้สึกไว้หนึ่งคืน ให้ความคิดตกตะกอนเรียงตัวว่าตกลงแล้วผมรู้สึกอย่างไรกับซีซั่นนี้บ้าง

ST4 ถือเป็นปีแรกที่ผมไม่ได้ดูต่อเนื่องแบบยิงยาวครับ เหตุผลหนึ่งก็เพราะมีการฉายแยก Part ไม่ได้ลงสตรีมรวดเดียวแบบปีก่อน แต่ผมก็อดใจนะ คืออดทนรอยังไม่ดู 7 ตอนแรก กะมาเปิดดูยาวๆ ยามที่ 2 ตอนสุดท้ายลงสตรีม คือกะยิงยาวเหมือนเดิมนั่นแหละครับ

แต่แผนที่วางไว้ก็มีอันต้องเปลี่ยนเมื่อมารู้ว่า ST4 แต่ละตอนมันยาวขึ้น ปกติปีก่อนๆ มันยาวตอนละ 45 -50 นาที แต่ปีนี้ยาว 1 ชั่วโมง 10 นาทีกว่าๆ ยิ่งตอนหลังๆ นี่ยาว 1 ชั่วโมงครึ่งถึง 2 ชั่วโมงกว่ากันไปเลย สุดท้ายด้วยเวลาที่จำกัดเลยต้องทยอยดูครับ ดูวันละ 2 – 3 ตอนตั้งแต่วันพุธ เพื่อให้มาสุดในวันศุกร์ – พอดูแบบนี้แล้ว ความอินเลยอาจไม่มากเท่าตอนดู 3 ปีแรกที่ดูยิงยาวแบบ 7 – 8 ชั่วโมงต่อเนื่อง

ถ้าถามว่าปีนี้ยังดูสนุกไหม? ผมว่าก็ยังสนุกนะครับ วิธีวัดง่ายๆ เลยสำหรับผมก็คือระหว่างดูแต่ละตอนเรารู้สึกเบื่อไหม? ต้องกดดูเวลาหรือเปล่าว่านี่เราดูไปกี่นาทีแล้ว และอีกกี่นาทีจะจบ? ซึ่งผลก็ปรากฏว่าไม่เป็นแบบนั้นครับ ผมยังดูเพลินแบบไม่สนเวลาได้เหมือนเดิม

แต่ขณะเดียวกันถ้าถามว่าดูแล้วเครื่องติดหยุดไม่อยู่แบบ 3 ปีแรกไหม? คำตอบก็คือ พอดูไปสัก 2 – 3 ตอนแล้วมันก็หยุดได้เองครับ ไม่ใช่เพราะไม่สนุก แต่เพราะรู้สึกว่ามันอิ่มครับ – สิ่งหนึ่งที่รู้สึกในปีนี้คือการเล่าเรื่องมีการปรับสเต็ปนิดหน่อย คือไม่เน้นเล่าแบบกระชับเร่งเร้าทะยานไปข้างหน้าแบบปีก่อนๆ

คือมันก็ยังเร่งเร้าอยู่นั่นแหละครับ แต่ไม่ตั้งหน้าตั้งตาเร้าขนาดนั้น และขณะเดียวกันซีรี่ส์เลือกที่จะเล่าแบบลงรายละเอียด แต่ละเรื่องแต่ละปมจะมีการลงดีเทลมากขึ้น มีการใช้เวลาไปกับการเล่ามากขึ้น ชวนให้เรากินบรรยากาศมากขึ้น ซึ่งดูไปก็พอเข้าใจครับ เพราะปีนี้มีปมเยอะ เส้นเรื่องก็แตกออกเป็น 3 – 4 สาย ไหนจะเส้นรอง เส้นอดีตอีก เลยพอจะเข้าใจที่ทีมผู้สร้างเลือกที่จะเล่าแบบลงรายละเอียด ทำให้สเต็ปอาจจะช้าลงบ้าง ความเร่งเร้าลดปริมาณลงบ้าง แต่เน้นให้เราดูแบบเข้าใจ ดูแล้วรู้ว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น-เรื่องนี้เกี่ยวกับเรื่องนั้นยังไง

ส่วนหนึ่งคงเพราะ ST จะจบลงในปีที่ 5 น่ะครับ ปี 4 นี่เลยเป็นการปูทางเตรียมแลนดิ้ง อย่างที่เราจะเห็นในตอนจบของปีนี้ที่เปิดประตูสู่ปี 5 แบบเต็มๆ และใบ้ให้รู้ชัดๆ ว่าปี 5 ฟ้าใหม่เรื่องใหญ่ขั้นสุดแน่นอน เตรียมดูบทสรุปอลังการกันได้เลย

STRANGER THINGS (2022)

ส่วนที่ผมชอบในปีนี้คือการได้มีเวลาให้กับตัวละครมากขึ้น ปีก่อนๆ อาจได้อารมณ์แบบ “ผจญภัยไปกับพวกเขา” แต่ปีนี้นี่อารมณ์เหมือนพาเราไป “ใช้ชีวิตร่วมกับพวกเขา” ได้เห็นรอยยิ้ม-คราบน้ำตา ความกล้า-ความอ่อนไหว ได้รู้ถึงความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ภายในใจ เช่น ความรักที่ก่อตัว ความห่างเหินที่ก่อเกิด หรือความอ้างว้างที่ซึมลึก

ดังนั้นใครคาดหวังความเร้าระทึกแบบใจเต้นยิงยาวก็อาจต้องปรับสักนิดครับ อย่างที่บอกน่ะว่าความตื่นเต้นชวนลุ้นยังมี แต่หนังก็เพิ่มพื้นที่ให้กับดราม่ามากขึ้น นอกจากนี้สิ่งที่ทีมผู้สร้างทำได้ดีเสมอในซีรี่ส์นี้คือการแนะนำตัวละครใหม่ครับ แต่ละคนที่เพิ่มเข้ามาจะมีคาแรคเตอร์ที่ชวนจดจำ อย่างเอ็ดดี้ มันสัน (Joseph Quinn) ที่ผมเชื่อเลยว่าหลายคนต้องชอบและประทับใจนายคนนี้อย่างแน่นอน

หรือนายอาไกล์ (Eduardo Franco) เพื่อนจอมเพ้อของโจนาธาน (Charlie Heaton) รายนี้ก็มาเงียบๆ ไม่ได้เด่นในทันที แต่พอเวลาผ่านไปผมรู้สึกชอบหมอนี่มากขึ้นตามลำดับครับ พี่แกมาพร้อมคาแรคเตอร์ประจำจริงๆ (ยิ่งนึกถึงหน้าพี่แกพร้อมนึกถึงเพลงที่พี่แกชอบเปิดในรถนี่ก็อดฮาไม่ได้) และตัวละครที่ผมค่อนข้างชอบคือนายดิมิทรี่ แอนโทนอฟ (Tom Wlaschiha) รายนี้ก็น่าสนใจเหมือนกัน โดยเฉพาะความคิดบางแง่มุม

ส่วนตัวละครเก่าๆ สำหรับผมก็เหมือนเพื่อนที่คุ้นเคยกันไปแล้วน่ะครับ ว่าตามจริงบางคนอาจดูบทน้อยในหลายๆ วาระ (อย่างโจนาธานนี่ผมว่าบทลดลงเยอะ) แต่หากดูโดยรวมๆ แล้วพวกเขาก็ยังคงเป็นพวกเขาน่ะครับ แม้บางอย่างอาจเปลี่ยนไปตามช่วงวัยที่เปลี่ยนแปร แต่สุดท้ายแล้วก็ยังคงมีมิตรภาพให้กัน และพร้อมจะเสี่ยงชีวิตสู้ไปด้วยกันเสมอ

“มองหน้าก็พอจะรู้ใจ” นี่น่าจะเป็นนิยามความรู้สึกที่ผมมีต่อพวกเขาที่ชัดที่สุดแล้วล่ะ เพราะตลอดเวลาในการดูนั้น ส่วนลึกของผมมันจะพอรู้น่ะครับว่าเดี๋ยวใครจะทำอะไร ใครจะคิดยังไง มันไม่ใช่การเดาทางหนังได้แบบสูตรสำเร็จ แต่มันคือการที่เราคุ้นเคยกับเหล่าตัวละครกลุ่มนี้ ให้ใจพวกเขาไปแล้ว จนสามารถรับรู้ได้ว่าเดี๋ยวพวกเขาจะตัดสินใจอย่างไรต่อไป – “มองหน้าก็พอจะรู้ใจและฉันเข้าใจว่าทำไมพวกนายคิดทำแบบนั้น” มันรู้สึกแบบนั้นจริงๆ ครับ

รู้สึกเลยครับว่าดูปีนี้ด้วยความเข้าใจ – เข้าใจว่าผู้สร้างสรรค์เขาจะพาไปทางไหน เขาจะเล่าอะไรและเพื่ออะไร เราก็เลยเพลินกับการตามเรื่องไปเรื่อยๆ – ถ้าถามว่ามีบ้างไหมที่ใจนึกขัด เช่น ทำไมไม่เดินเรื่องเร็วกว่านี้ ทำไมไม่ขยี้ให้ระทึกมากกว่านี้ ฯลฯ ก็ยอมรับว่ามีบ้างครับ (โดยเฉพาะตอนสุดท้ายที่ยาว 2 ชั่วโมงกับ 20 นาทีนั่น) แต่อาจเพราะทีมคนทำเขาชัดเจนและจริงใจในสิ่งที่จะเล่า ความรู้สึกของเรามันเลยโอบรับความจริงใจนั้น และพลอยทำให้เรายอมรับในสิ่งที่ซีรี่ส์ปีนี้เป็น แม้จะมีขัดในใจอะไรบ้าง ไม่เป็นไปอย่างที่อยากให้เป็นบ้าง แต่ก็พร้อมจะมองข้ามบางส่วนไปได้

ความรูัสึกระหว่างดูปี 4 นี้ จึงต่างออกไปจากการดู 3 ปีแรกครับ และอาจเพราะแบบนี้ผมเลยออกจะมึนๆ กึ่มๆ หลังดูปี 4 จบใหม่ๆ จนต้องให้เวลาตัวเองหนึ่งคืนเพื่อทำความเข้าใจ – และสิ่งที่ผมเขียนไปทั้งหมดนั้น ก็คือสิ่งที่ถอดมาจากความรู้สึกครับ

สำหรับท่านที่จะดูแบบยิงยาวผมก็ขอบอกเวลาคร่าวๆ ไว้ก่อนเลยนะครับว่า ท่านต้องเตรียมเวลาไว้ประมาณ 12 ชั่วโมงกับ 56 นาที หรือตีถ้วนๆ ก็ 13 ชั่วโมงครับ ซึ่งยาวกว่าปีก่อนๆ เกือบเท่าตัว (ปี 3 นั้นดูแบบยิงยาวจะใช้เวลาเพียง 7 ชั่วโมง 29 นาทีเท่านั้นเอง) – ก็เตรียมข้าวกล่องในช่องฟรีซไว้ให้พร้อมครับ เพราะระยะเวลาในการดูนี่ครอบเวลากินอาหาร 3 มื้อ – เช้า กลางวัน เย็นเลยล่ะ

สรุปว่าผมดู ST ปี 4 ด้วยความสนิทครับ ทั้งสนิทสนมและสนิทใจ แม้บางส่วนบางจุดของปีนี้อาจยังไม่สุด อาจยังดีได้อีก หรือปี 4 นี้อาจไม่ได้สมบูรณ์ยอดเยี่ยมไปเสียทั้งหมดก็ตาม – แต่ผมก็ยังรู้สึกสนุกสนานเพลิดเพลินไปกับการรับรู้เรื่องราวของพวกเขา และเตรียมรอที่จะเป็นกำลังใจให้กับการผจญภัยครั้งสุดท้ายที่จะชี้ชะตากันเสียที ในปี 5 ที่จะมาถึงนี้

สามดาวครึ่งครับ

Star32

(8.5/10)

Untitled07909

SHARE THIS: