ยอมรับว่าแอบกลัวเหมือนกันครับว่าปี 3 นี่ความสนุกจะดร็อปลงมาบ้างไหม แต่ที่ไหนได้ปีนี้กลายเป็นปีที่มันส์ที่สุด สนุกและน่าติดตามยิ่งกว่า 2 ปีแรกเสียอีก
ดุท่าว่าทีมงานจะรู้งานและรู้จังหวะแล้วน่ะครับ จำได้ว่าช่วงต้นๆ ของ 2 ปีแรกมันจะยังไม่เร้าใจแบบเต็มๆ เหมือนเป็นการปูพื้นก่อน ค่อยๆ สร้างธีมสร้างอารมณ์ แล้วความสนุกจะไหลมาเยอะๆ ก็เมื่อผ่านไปสัก 2 – 4 ตอน แต่สำหรับปีนี้หนังมันส์ตั้งแต่ตอนแรกแล้วก็ลากยาวไปถึงตอนที่ 8 เลยครับ ความเข้มข้นตื่นเต้นจัดว่าสาแก่ใจ คุ้มค่ากับการรอคอยจริงๆ
หนังน่าติดตามทั้งในส่วนของเนื้อเรื่องแนวลึกลับสยองขวัญและปมเรื่องในเชิงดราม่าครับ เริ่มจากแนวสยองก่อน อันนี้บอกได้เลยว่าหนังสยองขึ้น การมาของตัวร้ายปีนี้มาพร้อมความสยองและน่ากลัว ประเภทฉากหลอนๆ แหวะๆ หยึ๋ยๆ นี่มีมากขึ้น เหตุการณ์ในเรื่องก็เกิดภายในไม่กี่วันครับ เรื่องมันเลยเร่งเร้าอยู่ตลอด ยิ่งหนังมีการทิ้งปม+ตามปมแบบต่อเนื่องแล้ว ก็ยิ่งทวีความเร้าใจมากขึ้นไปอีก
ส่วนปมเชิงดราม่านี่ถือว่าสัดส่วนกำลังดีครับ สอดแทรกลงไปในหนังได้อย่างพอเหมาะ จริงๆ อย่างตอนแรกสุดนี่มันจะไม่ค่อยมีอารมณ์สยองน่ะนะครับ มันจะเป็นการเกริ่นให้เรารู้ว่าตัวละครแต่ละตัวตอนนี้เป็นอย่างไรกันบ้างแล้ว ซึ่งโดยทั่วไปการปูพื้นปมดราม่ามันอาจจะน่าเบื่อนะ แต่การปูพื้นในปีนี้มันออกมาสนุกและดูเพลินมากๆ เรียกว่าถึงแม้ตอนแรกจะเน้นเล่าเรื่องเชิงดราม่า แต่เราก็ยังสนุกไปกับมันได้ ไม่น่าเบื่อเลย
จุดที่ผมชอบคือโดยหลักแล้วจริงๆ ปีนี้สัดส่วนเรื่องลึกลับสยองขวัญจะถือว่ามากกว่าเรื่องดราม่า แต่กระนั้นปมดราม่าแต่ละอันที่สอดแทรกเข้ามามันเป็นอะไรที่พอดีน่ะครับ เช่น บางช่วงหนังกำลังเน้นเรื่องสยองและลึกลับอยู่ แต่ครั้นพอจะสลับฉากแทรกดราม่าลงไปท่ามกลางบรรยากาศสยองขวัญ ผลที่ได้ออกมาถือว่าพอดี ไม่ได้ดูยัดเยียดหรือขาดๆ เกินๆ จนพูดได้เลยครับว่าหนังปีนี้สามารถผสมผสานรวมความสยองชวนลุ้นเข้ากับเรื่องดราม่าความสัมพันธ์ของตัวละครได้แบบกลมกล่อมจริงๆ (ซึ่งเป็นอะไรที่คอหนังไม่ได้เจอกันบ่อยๆ ครับ ความกลมกล่อมแบบเนี้ย)
และสารพัดปมดราม่าที่มีนั้น หลายอันก็สร้างความประทับใจให้ผู้ชมได้เยอะทีเดียว (อันนี้ไว้ว่ากันอีกทีตอนสปอยล์ครับ)
และความกลมกล่อมยังไม่หมดแค่นั้นนะครับ หนังยังแทรกมุกต่างๆ ลงไปได้แบบพอดีอีกด้วย โดยเฉพาะสารพัดมุกที่พูดถึงยุค 80 น่ะครับ (เพราะเหตุการณ์ในหนังเกิดช่วงวันชาติ 4 กรกฎาคม ปี 1985) ไม่ว่าจะเรื่องเกี่ยวกับห้าง, เรื่องค่านิยม (คนเดินห้างมากจนร้านค้าเล็กๆ ต้องปิดตัว), เรื่องหนังที่ฉายในช่วงนั้น (Day of the Dead, Back to the Future), เรื่องคอมมิวนิสต์ – รัสเซีย, เรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของเด็กๆ ในสมัยนั้น, เรื่องเด็กแก่แดดในยุค 80 ที่จะเฟี้ยวกว่ายุคก่อนๆ ฯลฯ
และที่ฮามากสำหรับผมคือเรื่อง “นิวโค้ก” ครับ ซึ่งประเด็นนิวโค้กนี่เป็นเรื่องจริงที่นักการตลาดหรือคนที่ศึกษาเกี่ยวกับประเด็นธุุรกิจคงจำได้ดีว่ากรณีที่ “โค้ก” หรือ “Coca Cola” เปลี่ยนเป็น “นิวโค้ก” นั้นมันส่งผลอย่างไรบ้าง และฉากที่ตัวละครเอาประเด็นนี้มาคุยกันนี่มันเป็นการแซวผสมหยอกที่ทั้งน่ารักทั้งฮาไปในเวลาเดียวกัน (และเหตุการณ์นิวโค้กนี่เกิดในปี 1985 จริงๆ ซะด้วยครับ) เรียกว่าหนังจับเอาปี 1985 มาใส่ไว้ในจอได้ดีจริงๆ
อีกเรื่องที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือ Soundtrack ครับ คัดมาดีโคตรๆ เอามาใช้กับแต่ละฉากได้อย่างเหมาะเหม็ง บางเพลงนี่ถึงขั้นทำให้ขนลุกเลยครับ และบอกตรงๆ ว่าอยากได้ Soundtrack ของปีนี้เก็บไว้มากๆ มันคืออัลบั้มที่บ่งบอกถึงความเป็นยุค 80 ได้ดีแบบสุดยอดจริงแท้
ดาราทุกคนเด็ดหมดครับ เหตุผลสำคัญก็เพราะส่วนใหญ่เล่นกันมาหลายปีแล้ว แต่ละคนก็สวมวิญญาณเป็นตัวละครเดิมได้อย่างสุดยอด ทุกคนมีโมเมนต์ของตัวเอง (มีมากมีน้อยต่างกันไปครับ) และบางคนยังมีโมเมนต์ที่เซอร์ไพรส์เราแบบคาดไม่ถึงอีกด้วย (มีอยู่คนหนึ่งทำเอาผมหัวเราะหนักมาก จนน้ำตาไหลเลยครับ 5555)
โดยสรุปก็คือปีนี้ทำออกมาได้สนุก น่าติดตามทั้ง 8 ตอน และดูแววแล้วคงมีปี 4 ต่อครับ (ได้ข่าวว่าจะมีอย่างมากไม่เกิน 5 ปีครับ) ซึ่งลองว่าทำออกมาสนุกขนาดนี้ จะมีต่ออีกปีหรือ 2 ปีก็พร้อมรับครับ ขอให้ออกมาสนุกและน่าติดตามแบบนี้อีกก็แล้วกัน และโครงเรื่องก็เหมือนจะวางไว้ให้เราเตรียมพร้อมสำหรับเรื่องที่จะใหญ่ยิ่งขึ้นอีกด้วย
ถึงจุดนี้ผมรู้สึกขอบคุณที่ Matt Duffer และ Ross Duffer ไม่ได้รับเลือกให้ไปทำ IT (ฉบับหนังใหญ่) เพราะหากพวกเขาได้ทำเรื่องนั้น เราก็คงไม่ได้ดูซีรี่ส์มหาสนุกติดหนึบขนานหนักแบบนี้ครับ เรียกว่าในเสียก็มีดี – จริงๆ คือผมว่าดีมากกว่าเสียครับ เพราะ IT ฉบับที่ทำออกมานั้นก็ถือว่าสนุก ไม่ผิดหวัง แล้วขณะเดียวกันเราก็ได้ Stranger Things ออกมาให้สนุกอีกหนึ่งชุด แบบนี้คนดูหนัง (ที่ชอบหนัง Retro ยุค 80 – 90) อย่างเราก็มีแต่กำไรล่ะครับ
สรุปอีกทีว่าปีนี้มันส์จริงอะไรจริง ชวนติดตามตั้งแต่ตอนแรกยันตอนจบ ซึ่งข้อดีอีกอย่างคือแต่ละปีของซีรี่ส์นี้มีแค่ 8 ตอนครับ มันไม่มากเกินไป สามารถดูจบได้รวดเดียวใน 1 วัน และสำหรับคนทำหนังแล้ว พวกเขาก็ไม่ต้องเค้นสมองหาทางยืดเรื่องให้ออกมาหลายๆ ตอน (แบบซีรี่ส์ส่วนใหญ่ที่ต้องทำ 12 – 25 ตอนเพื่อให้ครบซีซั่น) ผมว่าถ้า Stranger Things ต้องทำออกมาเป็น 10 กว่าตอนแล้ว ความสนุกและความเข้มข้นของมันอาจไม่มากขนาดนี้ก็ได้ครับ
สี่ดาวครึ่งไปเลยครับ
(9.5/10)
ถัดไปด้านล่างนี้ผมจะสปอยล์แบบเต็มๆ ล่ะนะครับ
ใครไม่อยากทราบไม่ควรอ่าน ควรอ่านเฉพาะคนที่ดูแล้วเท่านั้นครับ
ในแง่ความตื่นเต้นมันจัดเต็มจริงๆ ครับ มันคือการรำลึกและคารวะหนังและนิยายสยองขวัญ-ระทึกขวัญ-ไซไฟในยุค 80 – 90 ได้แบบสุดยอด ถ้ามองในแง่นิยายแล้วก็ทำให้นึกถึงงานของ Stephen King (เรื่องสยองและบิดเบี้ยว-เรื่องสยองที่มีเด็กเป็นตัวนำ ฯลฯ), Dean R. Koontz (เรื่องสยองที่ก่อตัวในเมืองเล็กๆ-การสมคบคิด การทดลองลับ ฯลฯ) และที่ลืมไม่ได้คือ H.P. Lovecraft ที่ลีลาของวายร้ายในแต่ละปีนี่ก็ Lovecraft เต็มๆ ล่ะครับ (แหวกมิติ, เป็นสิ่งมีชีวิตเก่าแก่ทรงพลัง, เวลามาเยือนโลกทีคนก็ต้องตกเป็นทาสของมันหรือไม่ก็ต้องโดนมันจับหลอมรวมร่าง)
ถ้าหนังก็คิดถึงหลายเรื่องล่ะครับ โดยดั้งเดิม ST คารวะหนังอย่าง E.T., Stand By Me, It, The Goonies และ Alien และมาปีนี้ที่นึกถึงแบบเต็มๆ ก็คือ The Blob, The Thing กับ Invasion of the Body Snatchers เรียกว่าคารวะกันมันส์ยกร่อง และเอาของดีๆ จากหนังเหล่านี้มาปั่นผสมรวมกันได้อย่างกลมกล่อมแบบสุดๆ (อย่างมือปืนรัสเซียนี่ก็นึกถึง Arnold Schwarzenegger ผสมกับ Dolph Lundgren เลยครับ ไหนจะมีแซว Nancy Drew อีกด้วย)
อย่างที่ผมเคยบอกว่าซีรี่ส์นี้ “ไม่ใหม่ แต่สด” พี่น้อง Duffer เอาของเก่าที่ดีๆ (ในแนวสยองขวัญและไซไฟ) มาเขย่ารวมกันและปรุงรสในแบบของตนเอง ผลที่ได้คือความสนุกและลงตัวที่ทำให้เรานึกถึงหนังเก่าๆ และชื่นชมในไอเดียการนำเสนอที่มีความสดของพวกเขา ชนิดที่ต้องบอกเลยว่าพวกเขาต้องเป็นเด็กยุค 80 ตัวกลั่นสุดๆ แน่นอน ถึงทำหนังแนวนี้ออกมาได้เวิร์กขนาดนี้
ในแง่ความสยอง หนังจัดเต็ม มีความตื่นเต้นและหยอดปมให้เราติดตามตลอด ซึ่งอันนี้ผมประทับใจสุดๆ ครับ แต่ที่ผมประทับใจยิ่งกว่าคือเรื่องมิติตัวละคร เรื่องราวของแต่ละคนที่แม้จะโผล่กันแบบต้องแบ่งซีนกัน (เพราะตัวละครเยอะมาก มาเป็นสิบ) แต่ทุกคาแรคเตอร์ล้วนมีอะไรให้จดจำ และปมอีกหลายๆ อันยังทำให้หนังมีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้นอีกด้วย
อย่าง จิม ฮ็อปเปอร์ (David Harbour) ถือว่าเป็นตัวละครที่เด่นมากในปีนี้ และเป็นตัวละครที่มีอะไรหลายอย่างซ่อนอยู่ในใจ ส่วนใหญ่เราจะเห็นเขาในเวอร์ชั่นหงุดหงิด แต่มันไม่ใช่หงุดหงิดแบบไร้เหตุผลครับ มันมีที่มาที่ไป ไม่ว่าจะเรื่องของแอล (Millie Bobby Brown) ที่จิมกำลังปวดหัวเนื่องจากเธอกับไอ้หนุ่มไมค์ (Finn Wolfhard) ชักจะใกล้ชิดกันจนเกินงาม ก็เป็นพฤติกรรมปกติของพ่อที่หวงลูกสาวน่ะครับ เวลามีหนุ่มมาเกาะแกะมันก็อดไม่ได้ที่จะหวง นี่ก็หงุดหงิดเรื่องหนึ่งแล้ว มิหน้ำซ้ำผู้หญิงที่เขาชอบอย่าง จอยซ์ (Winona Ryder) ก็ยังไม่ยอมรับรักเขาเสียที มันเลยไม่แปลกครับที่เขาจะหงุดหงิดจิตหลุด
แต่กระนั้นต่อให้หลุดยังไง จิมก็ยังเป็นคนดีครับ ซึ่งทีมงานฉลาดมากที่เก็บประเด็นนี้ไว้เผยในตอนท้าย ว่าความในใจของจิมที่มีต่อลูกสาวอย่างแอลนั้น เป็นอย่างไรบ้าง อันนำมาสู่อีกหนึ่งความประทับใจที่ทำให้จิมเป็นตัวละครที่หล่อมาก เสียสละมาก และต้องแบกรับภาระหลายอย่างมาก จนทำให้เราสะเทือนใจไม่ได้
ตัวละครอื่นก็เด่นตามอัตภาพครับ พี่น้อง Duffer พยายามใส่ปมลงไปในแต่ละคนเช่นไมค์มีปมเรื่องความรักที่มีต่อแอล, จอยซ์ก็ยังติดอยู่กับคนรักเก่าที่จากไป, แอลก็ต้องพยายามปรับตัวและทำความเข้าใจกับอารมณ์ของคนที่แสนจะซับซ้อน, วิลล์ (Noah Schnapp) นอกจากต้องเจอกับความรู้สึกแปลกๆ ที่เกิดขึ้นเพราะการกลับมาของเจ้าตัวนั้นแล้ว เขายังรู้สึกว่าเพื่อนทุกคนกำลังจากเขาไป ก๊วนเด็กที่เคยมีกำลังจะจบสิ้น เพราะต่างคนต่างก็ไปมีแฟน มีชีวิตในแบบของตนเองจนห่างเหินกับเพื่อนไป ซึ่งผมเชื่อว่าปมนี้หลายคนคงเข้าใจครับ ยิ่งถ้าเรายังไม่มีใคร แต่เพื่อนมีแฟนหมดแล้ว เราจะรู้สึกโดดเดี่ยวแบบสุดๆ
แนนซี่ (Natalia Dyer) ก็มาพร้อมปม “ผู้หญิงที่ต้องทำงานในโลกของผู้ชาย” อันทำให้เธอไม่ได้รับโอกาสอย่างที่ควรจะเป็น – ว่าตามจริงหากคนในหนังสือพิมพ์ฟังเธอเสียบ้าง อันตรายที่เกิดอาจไม่ร้ายแรงขนาดนี้ก็ได้นะครับ – นี่ก็เหมือนจะกัดสังคมอเมริกันในสมัยนั้นที่บางทีก็เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ทำเอาจนปัญหาเล็กๆ ขยายกลายเป็นปัญหาใหญ่ๆ ไปเลย
และจุดที่ผมชอบคือการที่หนังผูกปมของตัวละครหนึ่งเข้ากับเรื่องของแนนซี่ได้อย่างพอดี นั่นคือปมของคาเรน วีลเลอร์ (Cara Buono) แม่ของแนนซี่และไมค์ที่ปีก่อนเหมือนจะทิ้งท้ายว่าเดี๋ยวคาเรนต้องมามีซัมติงกับแบดบอยอย่างบิลลี่ (Dacre Montgomery) แต่พอเอาเข้าจริงหนังกลับหักมุมครับ เพราะในขณะที่เธอกำลังจะเผลอใจไปตามแรงปรารถนา เธอกลับสามารถหยุดตัวเองไม่ให้ทำสิ่งที่ผิด อันนำมาสู่ฉากชวนประทับใจที่คาเรน (แม่) ถามแนนซี่ (ลูกสาว) ว่า “ลูกได้ความแข็งแกร่งแบบนี้มาจากไหนนะ?” ซึ่งคำถามนี้มีคำตอบอยู่ในการกระทำของคาเรนแล้วครับ
ความแข็งแกร่งของลูกสาว ส่วนหนึ่งก็มาจากแม่นั่นแหละ
ฉากนี้ผมยิ้มเลยนะ รู้สึกชมคนเขียนบทเลย เพราะพวกเขาเอาปมของตัวละครหนึ่งมาเสริมเติมเต็มให้กับปมของอีกหนึ่งตัวละคร และเป็นการเสริมกันอย่างน่ารักอีกด้วย ถือว่าใส่ใจในรายละเอียดมากๆ ครับ
ตัวละครที่หลายคนชอบอย่างสตีฟ (Joe Keery) และดัสติน (Gaten Matarazzo) ก็ยังคงมาจับคู่สร้างความสนุกได้อย่างดี เพียงแต่ปีนี้พวกเขาไม่เชิงว่าคู่กันตลอดครับ มีการแยกไปคู่กับคนอื่นด้วย แต่ผลที่ได้ก็ยังถือเป็นความเด่น อย่างสตีฟก็ยังสานต่อปมการเปลี่ยนแปลงตัวเอง เข้ากับการที่เขาเริ่มสนใจผู้หญิงคนใหม่ในชีวิตอย่าง โรบิน (Maya Hawke) ซึ่งตัวละครนี้ก็เป็นตัวละครใหม่ที่น่าจดจำอีกเหมือนกัน โดยเฉพาะตอนที่เธอเผยความลับน่ะครับ ด้วยจังหวะและอะไรหลายๆ อย่างมันทำให้ฉากนั้นเต็มไปด้วยความน่ารักและมิตรภาพลึกๆ ผมชอบจัง
และดัสตินนี่ถือว่ามีทีเด็ดครับ ปกติคาแรคเตอร์พี่แกก็เด่นพออยู่แล้ว มาปีนี้หนังเปิดปมให้เราสงสัยว่าที่ดัสตินบอกว่ามีแฟนน่ะเป็นเรื่องจริงหรือเขาแค่แต่งขึ้นมาเพื่ออวดเพื่อนๆ กันแน่ นี่ก็นำเอาประเด็นในชีวิตจริงของใครหลายๆ คนมาเล่นได้อย่างดีครับ – ผมเชื่อว่าเราๆ ท่านๆ ต้องเคยโกหกเพื่ออวดอะไรสักอย่างกับเพื่อนเพื่อจะได้ไม่เสียฟอร์ม จริงไหมล่ะครับ – และหนังก็เล่นกับความสงสัยของเราว่าตกลงมันเรื่องจริงหรือไม่
และพอถึงฉากเฉลยนี่ก็เป็นอะไรที่เฮแล้วเฮอีก ฉากที่ดัสตินกับซูซี่ร้องเพลงนี่ผมโคตรชอบเลยครับ มันพอเหมาะพอดี น่ารักและฮาสุดๆ ประเด็นคือฉากนี้มันเกิดในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานนะ แต่มันกลับลงล็อคกับอารมณ์และพลิกทำให้ฉากนั้นกลายเป็นซีนที่โคตรน่าจดจำไปเลย และแน่นอนว่าฉากที่ว่าแจ้งเกิดให้กับซูซี่ได้แบบเต็มๆ
อย่างหนึ่งที่ผมยอมรับคือเวลา ST เปิดตัวตัวละครใหม่นี่ เขาจะมีวิธีที่ทำให้เราจดจำตัวละครนั้นๆ ได้อย่างรวดเร็ว อันนี้ถือเป็นทีเด็ดอย่างหนึงของซีรี่ส์นี้ครับ แต่มีอยู่คนหนึ่งที่ผมแอบรำคาญเล็กๆ คือ เอริก้า (Priah Ferguson) น้องของลูคัสที่แก่แดดจนไม่น่ารัก แต่ก็ยังดีที่ทีมงามไม่จดจ่อกับประเด็นนี้นานเกินไป (ไม่งั้นบทของเธอคงจะมหาน่ารำคาญกว่านี้แน่นอน)
ยังมีอีกตัวละครหนึ่งที่มาพร้อมโมเมนต์ที่คาดไม่ถึงครับ นั่นคือบิลลี่ นายแบดบอยที่กลายเป็นโฮสต์โดนวายร้ายปีนี้สิง ปกติพี่แกก็น่ากลัวอยู่แล้ว พอเป็นแบบนี้ก็ยิ่งน่ากลัวขึ้นไปอีก แต่ที่ผมคาดไม่ถึงคือหนังก็ใส่ปมลงไปในตัวละครนี้ด้วยครับ ตอนที่แอลเจาะจิตเห็นวันคืนเก่าๆ ของบิลลี่ มันทำให้เราเข้าใจในทันทีว่าจริงๆ ตอนเขายังเด็กนั้นเขาน่ารักแค่ไหน แต่เพราะโดนพ่อกระทำอย่างทารุณ ความดีในตัวเขาเลยถูกคร่าไปทีละน้อยจนสุดท้ายเขาก็กลายเป็นแบดบอย – พอได้รู้แบบนี้แล้วยอมรับเลยครับว่าความคิดที่มีต่อบิลลี่มันพลิกเลย มันกลายเป็นเห็นใจและสงสาร – แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้เดาตอนจบได้ ว่าสุดท้ายยังไงบิลลี่ก็ต้องหันมาช่วยพวกแอลแน่นอน ลองว่ายังมีความดีหลงเหลืออยู่แบบนี้น่ะ
ขอชมเลยครับว่า Montgomery เล่นได้ดีจริงๆ โดยเฉพาะซีนสุดท้ายที่ทั้งแววตาและท่าทางมันถึงขีดมากๆ
ท่ามกลางความเด่นของหลายตัวละครที่ผลัดกันมาขโมยซีนแล้วก็อาจมีบางคนที่ไม่ได้เด่นมากเท่าคนอื่น อย่าง ลูคัส (Caleb McLaughlin) แฟนของแม็กซ์ (Sadie Sink) ที่อาจไม่มีปมเด่นๆ หรือแม้แต่ตัวแม็กซ์เองแม้จะประกบแอลเกือบตลอด แต่ความเด่นของแอลก็ยังไม่มากเท่าภาคก่อน แต่อันนี้ก็เข้าใจได้ล่ะครับ เพราะตัวละครมันเยอะมาก ลองว่าแบ่งได้ประมาณนี้ก็ถือว่าเก่งมากแล้วล่ะครับ
อีกคนที่บทน้อยก็คือ โจนาธาน พี่ของวิลล์ (Charlie Heaton) ซึ่งจริงๆ ก็เป็นไปตามคาด เพราะเมื่อตอนปี 2 ออกมาใหม่ๆ นั้นเขาตกเป็นข่าวที่ไม่ดีนัก ไม่ว่าจะเรื่องโคเคนหรือเสพยา นั่นก็อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้บทของเขาถูกลดลงไป ไม่เด่นเหมือนสมัย 2 ปีแรก
และตามธรรมเนียมต้องมีดาราหนังยุค 80 โผล่มาร่วมแจม ในปีนี้คือ Cary Elwes ที่สมัยนั้นดังมากจาก The Princess Bride และ Days of Thunder มาเรื่องนี้ก็รับบทนายกเทศมนตรีแลร์รี่ ไคลน์ที่แสนจะเห็นแก่ตัวสุดๆ รายนี้ก็เล่นได้ดีอยู่แล้วครับไม่ว่าจะบทแบบไหนก็เถอะ และอีกคนก็ Jake Busey (The Frighteners, ContactและStarship Troopers) ในบทบรูซ หนึ่งในนักข่าวหนังสือพิมพ์ที่แสนจะเหยียดหยามแนนซี่ รายนี้ก็ขาประจำสำหรับบททำนองนี้เหมือนกัน และพี่ท่านก็ทำได้ดีเหมือนเดิมครับ
นี่ล่ะครับ ปีนี้ถือว่าครบเครื่องจริงๆ ดูเอามันส์ก็ได้ ดูเอาสนุกตื่นเต้นลุ้นระทึกก็ได้ หรือจะเอาปมของแต่ละตัวละครมาคิดต่อยอดก็ได้ ปีนี้ถือว่าท็อปฟอร์มจริงๆ ครับ ก็ต้องมาลุ้นกันต่อไปว่าปี 4 จะออกมาเป็นอย่างไร ซึ่งก็คงมีออกมาแน่ๆ ล่ะ และเรื่องต้องใหญ่มากขึ้นอีกแน่นอนเช่นกัน
มารอตามกันต่อไปครับ