Stranger Things Season 2 (2017) สเตรนเจอร์ ธิงส์ ปี 2

stranger_things_ss2

เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา บอกเลยแล้วกันครับว่าถ้าใครชอบปีแรก ต้องตามดูต่อปี 2 โดยพลัน ไม่ต้องรออ่านอะไรแล้ว ส่วนใครไม่เคยดูมาก่อนก็ขอให้ลองทำเช็คลิสต์กับตัวเองก่อนครับ ว่าท่านนั้นชอบหนังลึกลับ+สยอง+ไซไฟที่มาพร้อมอารมณ์ Retro หรือเปล่า?

หากคำตอบของท่านคือ “ใช่” แล้วล่ะก็ ไม่ต้องรออะไรอีกเหมือนกันครับ ลองจัดปี 1 มาดู แล้วต่อปีสองได้เลย ผมเชื่อว่าท่านจะได้รับความสนุกสนาน และติดใจใน Stranger Things แบบที่ผมและแฟนซีรี่ส์ชุดนี้เป็นกัน (และอดใจรอดูปี 3 ไม่ไหวแล้วครับเนี่ย บอกตรงๆ เลย ^_^)

แต่บอกก่อนครับว่าต้องเคลียร์เวลาดีๆ นะ จัดตารางเวลาให้เหมาะๆ เผื่อดูแล้วติดลม เพราะถ้าดูแล้วไม่ติดก็ไม่เป็นไร แต่ขืนดูแล้วติดขึ้นมาล่ะก็ท่านจะเกิดภาวะ “เบรคแตก” นั่งแช่ยิงยาวแบบหยุดไม่อยู่อย่างแน่นอน

อย่างผมเป็นต้นครับ ปีแรกไม่ได้ตั้งตัว ก็ลองดูแบบงั้นๆ กะว่าดูแป๊บๆ แล้วก็หยุด ไว้ดูต่อวันหลัง ซึ่งผมเริ่มดูช่วงหัวค่ำครับ ก็ดูแบบไม่คิดอะไร แต่ผลที่ตามมาคือนอนตีสามเลยครับ พอเครื่องติดแล้วมันหยุดไม่อยู่จริงๆ ยิงยาว 8 ตอนต่อๆ กันไปเลย

มาปีนี้ผมเลยตั้งสติก่อนสตาร์ท ซีรี่ส์เริ่มปล่อยเมื่อวาน แต่ก็อดใจและตั้งใจทำงานก่อนจนเสร็จ (จริงๆ อดใจยากมาก แต่ก็ต้องยอมครับ) แล้ววันนี้ก็ยิงยาวจนได้ นี่ดีนะที่วางแผนก่อน ขืนดูเมื่อวานตอนค่ำๆ ล่ะไม่เป็นอันนอนแน่ๆ เพราะของปีนี้เขาแรงกว่าเดิม

อันนี้ว่าตามความรู้สึกแบบตรงๆ เลยนะครับ คือ 4 ตอนแรกถือว่า “ดีแบบเรื่อยๆ” คือยังไม่มีอะไรมาก ทีมงานปล่อยของแค่ทีละนิด แล้วก็ใช้ความผูกพันที่แฟนๆ ปีแรก (อย่างผม) มีต่อตัวละครและซีรี่ส์ชุดนี้เป็นตัวดึงให้เราติดตาม ว่าง่ายๆ ก็คือเป็นการปูพื้นประจำปีน่ะครับ ยังไม่เร่งเร้าอะไรมากมาย

แต่พอถึงตอนที่ 5 เท่านั้นล่ะ ของลงจัดเต็ม เทกระจาดสาดทั้งปมทั้งความลุ้น ทีนี้ก็หยุดไม่ได้แล้วครับ เพราะทุกอย่างที่ปูไว้ 4 ตอนแรก (รวมถึงปีก่อน) มันมาประดัง ทุกตัวละคร ทุกเรื่องราว ทุกปมมาเป็นน้ำป่าหลาก มีอะไรให้ลุ้นให้ดูกันเพียบตั้งแต่ตอน 5 แล้วก็ลากมาลุ้นต่อตอน 6

stranger-things-season-2-monster

ครั้นพอถึงตอน 7 เหมือนเป็นช่วงพักครับ ความลุ้นที่บิ้วๆ มาจะลดลงไปนิด ถ้าพูดกันในแง่ความสนุกแล้ว ตอน 7 อาจดูเป็นตอนที่ธรรมดาที่สุดในบรรดา 9 ตอนของปีนี้ และบางคนอาจเกิดอารามว่าเสียอารมณ์ด้วย เพราะตอน 6 กำลังลุ้น แต่ตอน 7 เหมือนมีการสลับฉากลดความลุ้นลงซะงั้น

แต่สำหรับผมแล้ว ความสนุกตอนที่ 7 อาจสู้อีก 8 ตอนไม่ได้ แต่มันเป็นตอนที่บอกเรื่องราวและคาแรคเตอร์ของตัวละครหนึ่งได้ดีครับ และจริงๆ ยังมี Easter Eggs มีปมอะไรอีกหลายอย่างเลยทีเดียว ที่ดูก็รู้ว่ามันต้องมีผลไปถึงปี 3 แน่ๆ ดังนั้นสำหรับผม ตอนที่ 7 อาจไม่ลุ้น แต่เป็นตอนที่มีความหมายและน่าจับตาพอควรครับ

จากนั้นก็มาถึงตอน 8 – 9 ซึ่งปมประจำปีก็มาขมวดแบบกรุแตกเอาตอนนี้แหละ อันนี้บอกตรงๆ เลยว่าลุ้นจิกเบาะไปหลายฉาก สนุกมาก ลุ้นมาก เร้าใจมาก ตื่นเต้นมาก เรียกว่าสนุกสมใจครับ แต่กระนั้นก็ต้องบอกก่อนว่า ผมนั้นกะอยู่แล้วว่าปีนี้ “มันจะยังไม่อลังการอะไรมาก” เพราะเห็นว่ามีการวางแผนทำต่อไปยันปี 4 น่ะครับ ดังนั้นของดีของหนักจะยังไม่มาในปีนี้ ผมเลยปรับใจไว้ล่วงหน้าว่าปีนี้มันใหญ่ขึ้น แต่มันจะยังไม่ใหญ่สุด

ดังนั้นช่วงไคลแม็กซ์ก็เลยถือว่าใหญ่กว่าปีก่อน ใหญ่แบบพอสมน้ำสมเนื้อ แต่หากใครคาดหวังว่ามันต้องใหญ่มากๆ ล่ะก็ อาจผิดหวังได้ครับ ยิ่งตอนสรุปเรื่องราวประจำปีนี่ มันอาจไม่ตรงกับ “ความต้องการ” ของบางท่านก็ได้ ทำให้ผมไม่แปลกใจครับหากตอนจบของปีนี้ จะมีบางส่วนที่รู้สึกว่ามันยังไม่ใช่ (เห็นได้จากคะแนนที่ IMDB ในตอนสุดท้ายของปี 2 ที่เหมือน “กราฟหุ้น” มีเดี๋ยวลงเดี๋ยวขึ้น) แต่สำหรับผม ผมชอบตอนจบแบบที่เป็นครับ ^_^

สรุปก่อนจะเข้าเขตสปอยล์นะครับ ปีนี้สนุกมาก อาจมีบางจุดที่สนุกแต่ไม่มากเท่าปีแรก แต่บางตอนก็แซงปีแรกไปไกลมาก พอหักกลบลบกันแล้วผลที่ได้ก็คือ สนุกไม่น้อยหน้าปีแรก ซึ่งก็ถือว่าเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่ได้มีมาบ่อยๆ นะครับ คือ “ดี” ของซีรี่ส์นี้มันคือดีมากแบบเกือบเต็ม และการที่ปี 2 ยังสามารถทำให้ดีแบบเกือบเต็มได้อีกนี่ มันคือความสุดยอดโดยแท้

2017_StrangerThings23_netflix_261017

==================================
==================================
เอาล่ะครับ ผมจะสปอยล์ล่ะนะครับ ไม่อยากทราบอย่าอ่านเลย จริงๆ จะอยากหรือไม่อยากทราบผมก็ไม่รู้นะฮะ แต่ใครยังไม่ดูผมไม่อยากให้อ่านน่ะ อยากให้ไปสนุกตอนดูทีเดียวเลยดีกว่า ^_^ อรรถรสท่านจะได้ครบแบบเต็มปากเต็มคำ
==================================
==================================

ปีนี้สำหรับผมมันสนุกสมใจจริงๆ ครับ ยิ่งได้ดูรายการพิเศษ Beyond Stranger Things ที่มีการสัมภาษณ์ทีมผู้สร้างและเปิดใจเปิดปมอะไรหลายๆ อย่างแล้วมันยิ่งอินมากขึ้น ทำให้เราเห็น Easter Egg และปมต่างๆ ที่ผู้สร้างเขาอยากจะเน้น มันทำให้รู้เลยครับว่าคนทำเขาตั้งใจกันจริงๆ (แนะนำว่าใครดูปีนี้จบ ให้ต่อด้วยรายการพิเศษนี้เลยครับ มีให้ดูทาง Netflix แล้วท่านจะอินกับเรื่องราวมากขึ้นอย่างแน่นอน)

ผมขอชมพี่น้อง Duffer เลยครับ เขาทำออกมาได้ดีมาก การผูกเรื่อง วางเรื่อง มันเต็มไปด้วยรายละเอียดนะ และเขาก็ทำมันด้วยใจครับ หลายอย่างในหนังก็มาจากความทรงจำในวัยเด็ก ซึ่งพวกเขานั้นก็เป็นเด็กเนิร์ดน่ะครับ เข้าสังคมไม่เก่ง เหมือนกลุ่มตัวเอกใน ST เลย นั่นคงเป็นเหตุผลสำคัญครับที่เขาเล่าเรื่องพวกนี้ได้อย่างเข้าถึง

อย่างฉากเต้นรำตอนท้าย พวกเขาบอกเลยว่าวางสตอรี่บอร์ดไว้แล้ว ว่ามันจะจบที่ตรงนี้ ซึ่งอย่างที่บอกครับว่าผมชอบฉากนี้มาก เป็นฉากที่น่ารัก แฝงเรื่องราว บอกเล่าตัวตนของแต่ละคน บางคนก็สมหวัง แต่บางคนก็ทำได้แค่ยืนหรือนั่งเป็นวอลเปเปอร์ในงาน คือมันเป็นอะไรที่จริงและ Touching มากๆ

ผมชอบตอนที่แนนซี่พูดกับดัสตินว่า “สาวๆ วัยนี้ยังไม่รู้อะไร (เหมือนถึงวัยเดียวกับดัสติน) ต้องรอสักพักน่ะ” ประโยคนี้เหมือนกัดตัวเองน่ะครับ เพราะปีแรกแนนซีก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน ต้องรอจนถึงปีนี้เมื่อผ่านอะไรมาหลายอย่าง เธอถึงเริ่มรู้ใจตัวเองมากขึ้น มันคือฉากที่มีความหมายจริงๆ

แก่นของปีนี้ มีทั้งเรื่องความสยองและเรื่องดราม่าครับ เริ่มจากเรื่องสยองที่ว่าด้วยสิ่งมีชีวิตจากโลกกลับด้านที่กลับมาอาละวาดอีกครั้ง โดยมีวิล (Noah Schnapp) เป็นตัวแปรสำคัญ ซึ่งปีก่อน Schnapp ไม่มีบทมากนัก แต่ปีนี้เขาได้ฝากการแสดงดีๆ ไว้เพียบครับ โดยเฉพาะตอนโดนควบคุมจนถูกมัดไว้ ฉากนั้นสุดยอดมาก Schnapp ถ่ายทอดบทวิลที่โดนขังในร่างตัวเองได้เด็ดขาดจนน่าปรบมือ

ดารารายอื่นก็เล่นได้ดีครับ ทุกคนร่วมซีนกันได้โดยไม่แย่งซีนกัน มิหน้ำซ้ำยังช่วยขับเน้นให้คนอื่นๆ ในซีนดูเด่นขึ้นด้วย คือถ้าว่ากันถึงพลังแล้ว ปีนี้พลังของหนังมีเยอะมาก ไม่เฉพาะดารา แต่รวมถึงงานฉาก ดนตรี Soundtrack มุมกล้อง ฯลฯ ทั้งหมดคือของดีที่มีคนปรุงชั้นเลิศ เลยทำให้งานออกมาดีและแน่นแบบสุดๆ ไปเลย

0e476a6672a02d3d9f42_dims

ถ้าถามว่าปีนี้ชอบตัวละครไหน ผมว่าผมชอบคู่ดัสติน (Gaten Matarazzo) กับ สตีฟ (Joe Keery) นะ คือเป็นคู่ซี้ต่างวัยที่แมตช์กันมาก ประมาณว่าโดนทิ้งให้โดดเดี่ยวเหมือนกัน เลยเข้าใจกันและเกิดมิตรภาพโดยปริยาย ซึ่ง 2 คนนี้ถือว่ามีพัฒนาการสูงมากครับ โดยเฉพาะสตีฟที่โตขึ้น หลังจากกึ่งๆ จะเป็นเด็กร้ายก็เติบโตขึ้น จนพี่แกกลายเป็นฮีโร่ที่ได้ใจคนดูไปเลย

และที่ลืมไม่ได้คือ Sean Astin ในบทบ็อบครับ พี่ท่านน่ารักมาก การมาของเขาถือว่ามีความหมายมากในฐานะหนึ่งในดาราเด็กคนสำคัญของยุค 80 ซึ่งการที่เขาเคยเล่น The Goonies มาก่อน และมารับบทเป็นกุญแจสำคัญในการไขปริศนา ถือเป็นการคารวะยุค 80 ที่น่ารักมากๆ และแน่นอนครับว่าผมเศร้าเหมือนกันตอนเห็นเขาตาย (แต่ก็กะแล้วว่าพี่แกตายแน่นอน เหมือนใน 24 น่ะครับ) และอีกคนคือ Paul Reiser ครับ รายนี้ก็สุดยอดอีกเช่นกัน ตอนแรกผมก็เหมือนจะไม่ไว้ใจแกนะ แต่ Reiser สามารถถ่ายทอดให้เราเห็นว่าตัวละครของเขาไม่ใช่คนร้ายแบบใน Aliens แต่อย่างใด เล่นได้ดีมากครับ

ยอมรับอย่างหนึ่งว่าหลายอย่างในเรื่องนั้นเราเดาได้นะครับ มันคือสูตรของหนังแนวนี้อยู่แล้ว แต่การนำเสนอของซีรี่ส์มันมีชั้นเชิง มันแฝงอะไรหลายอย่าง เป็นการการนำเสนอ “ฉากเดิมๆ ตามสูตร” แต่ไม่ได้เป็นการนำเสนอที่แห้งแล้งครับ มันมีรายละเอียด มีการวางจังหวะอารมณ์ กระตุ้นเร้าเรา ทำให้เราอิน เลยทำให้สารพัดฉากเดิมๆ ที่เราเคยเห็น มันดูมีความสด และดูมีชีวิตในแบบของมัน

นอกจากนี้ซีรี่ส์ยังมีการคารวะหนังเก่าๆ คารวะ Stephen King, H.P. Lovecraft หรือ Steven Spielberg และที่ลืมไม่ได้คิือ Ghostbusters ไหนจะเกมตู้ ขนม และอะไรอีกหลายอย่าง ดูแล้วมันสนุกอิ่มเอมสำหรับคอหนังที่โตมากับยุค 80 – 90 แบบผมจริงๆ ครับ ชอบมาก

ที่ชอบอีกอย่างคือมันเน้นธีม Coming of Age ชัดขึ้นกว่าเดิมครับ พัฒนาของตัวละครมันเป็นอะไรที่น่าจดจำมาก และแต่ละการกระทำของตัวละครมันมีความหมาย แม้บางอันมันจะน่ารำคาญอยู่บ้าง เช่น การที่ดัสตินเก็บดาร์ท (ตัวประหลาดตัวเล็กๆ) เอาไว้ ซึ่งเราก็แทบอยากจะโดดเข้าไปในจอบอกให้ดัสตินเหยียบมันซะ อย่าเก็บมันไว้ แต่การกระทำนี้ก็มีเหตุผลในแบบของมัน (ประมาณว่าการที่เขาค้นพบเจ้าตัวนี่มันคือการเพิ่มความเท่ห์ประสาวัยรุ่น ยิ่งเขาแอบชอบแม็กซ์ด้วยแล้ว มันก็เหมือนอยากจะหาอะไรมาอวดสาวน่ะครับ ดังนั้นมันอาจดูชวนหงุดหงิดนะครับ แต่มันสะท้อนมิติของวัยรุ่นได้ดีทีเดียว)

โดยรวมแล้วซีรี่ส์ปีนี้สนุกมากๆ ครับ เต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความประทับใจ เป็นซีรี่ส์ที่ครบเครื่องมากๆ และถ้าว่างๆ ผมก็กะจะดูใหม่อีกสักรอบครับ และจะรอปี 3 อย่างใจจดใจจ่อ เพราะรู้สึกได้เลยว่าเรื่องมันยังมีอะไรให้ตามอีกเยอะมาก

ปล. ชอบการเปรียบเปรยด้วย “ว็อดก้าเจือจาง” มากๆ มันมีความหมายดีจริงๆ

สี่ดาวครับ