สิ่งที่ต้องบอกกับตัวเองก่อนดู Rurouni Kenshin: The Beginning ก็คือ อย่าคาดหวังเรื่องแอ็กชันฟันดาบครับ ภาคนี้ไม่เหมือน 4 ภาคที่แล้วมา เพราะหนังเน้นที่ดราม่า ส่วนฉากฟันดาบนั้นเอาเข้าจริงๆ มีไม่ถึง 30% ของเรื่องด้วยซ้ำไป
และฉากฟันดาบจะมีแค่ในช่วงแรกๆ ครับ อีกทั้งตอนท้ายก็ไม่มีฉากฟันดาบมันส์ๆ แบบภาคก่อนๆ ด้วย เพราะ Boss ใหญ่ที่เคนชินต้องรับมือในภาคนี้ หาใช่ยอดฝีมือจากที่ไหน
แต่เป็นใจตนเอง กับสตรีหนึ่งนาง…
ภาคนี้จะย้อนไปบอกเล่าเรื่องราวของฮิมุระ เคนชิน (Takeru Satoh) สมัยที่เขายังเป็นมือพิฆาตบัตโตไซที่ไล่สังหารผู้ที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามแบบไร้ความปรานี ซึ่งพูดตรงๆ คือพี่ท่านโหดมากครับ โหดจริง สะบัดดาบทีนี่เลือดต้องสาดไปทั่ว ใครที่เขาหมายหัวนี่คือต้องตายสถานเดียว
แต่แล้วท่ามกลางการฆ่าฟันนั้นเอง เขามีโอกาสได้พบกับ โทโมเอะ ยูกิชิโร่ (Kasumi Arimura) หญิงสาวที่จะเข้ามาเปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดกาล
ภาคนี้นี่ดราม่าเต็มตัวครับ เน้นการเล่าเรื่องให้เราได้รู้จักกับวิถีชีวิตของเคนชินสมัยที่มือยังเปื้อนเลือด เขานั้นโดดเดี่ยว ไร้มิตร ไร้รัก จนกระทั่งได้มาเจอโทโมเอะ ซึ่งก็แน่นอนว่าโทโมเอะเองก็มีปมของตนครับ เอาเป็นว่าผมคงไม่เล่าอะไรมากเพราะจริงๆ ถ้าใครดูต่อเนื่องกันมาตั้งแต่ภาคก่อนก็คงจะพอทราบแล้วว่าเธอคนนี้คือใคร
ไปๆ มาๆ ผมว่าผมชอบภาคนี้มากกว่าภาค The Final ครับ อย่างที่เคยบอกไปว่าภาค The Final นั้นดูสนุก แต่ก็ยังไม่สุดเท่า 3 ภาคแรก (ในฐานะหนังแอ็กชันฟันดาบ) ในขณะที่ภาคนี้รสชาติแตกต่างจาก 4 ภาคก่อนแบบชัดเจน แหวกมาแนวดราม่าซึมลึก ซึ่งถ้าใครคาดหวังความมันส์ก็อาจรู้สึกสะดุดครับ แต่ใครที่ปรับอารมณ์มารับกับเรื่่องราวเชิงดราม่าแบบนี้ได้ ก็น่าจะรู้สึกชอบ เพราะหนังเล่าได้ถึงระดับอยู่เหมือนกัน
Keishi Ohtomo ผู้กำกับคนเดิมกลับมารับหน้าที่เดิมครับ ซึ่งผมว่าพี่เขาทำภาคนี้ได้โอเคเลยนะ เล่าเรื่องได้ดี ค่อยๆ เปิดปมเปิดชีวิตเคนชินทีละนิด ค่อยๆ แนะนำโทโมเอะทีละหน่อย และค่อยๆ สานชีวิตของเคนชินกับโทโมเอะเข้าด้วยกัน ก่อนจะสรุปเรื่องราวไปพีคตอนท้าย ทำให้เราได้รู้ที่มาของแผลเป็นรูปกากบาท รวมถึงจุดเปลี่ยนที่ทำให้ซามูไรผู้คร่าชีวิตเช่นเขา กลายมาเป็นซามูไรผู้พิทักษ์ชีวิตในเวลาต่อมา
ยอมรับว่าระหว่างดูภาคนี้ก็ต้องปรับอารมณ์พอตัวเหมือนกันครับ เพราะภาคก่อนๆ มันยังสนุกเพราะฉากแอ็กชัน และที่สำคัญคือมีตัวละครมากมายมาผูกมิตรหรือไม่ก็ช่วยเหลือเคนชินซึ่งก็สามารถชูรสให้เรื่องราวได้ไม่น้อย แต่สำหรับภาคนี้นี่เคนชิน Alone มากๆ ครับ ตัวละครอื่นๆ ก็พอมี แต่ไม่ได้เป็นสีสันแบบภาคก่อน คงเพราะต้องการสะท้อนให้เราเห็นน่ะครับ ว่าชีวิตสมัยนั้นของเคนชินต้องโดดเดี่ยวแค่ไหน ไร้สีสันอื่นใด จะมีก็เพียง ขาว-ดำและสีเลือดเท่านั้น
Yôsuke Eguchi กลับมาโผล่ในภาคนี้ในบทไซโต้ด้วยครับ ตอนแรกผมนึกว่าจะมีบทบาทเยอะนะ แต่กลายเป็นว่าพี่ท่านออกแนวบทสมทบอย่างแรงครับ โผล่มาไม่กี่ฉาก แต่ก็ถือว่าเป็นหนึ่งในตัวละครที่ช่วยเชื่อมเรื่องราวภาคนี้เข้ากับภาคต่อไปได้ไม่น้อย
ภาคนี้ให้อารมณ์เป็นภาคบีกินนิ่งได้สำเร็จครับ พอดูจบนี่ทำให้อยากเอาภาคก่อนๆ (ที่เป็นเรื่องราวบทต่อมา) มาดูอีกสักรอบแบบทันทีเลย (และแอบคิดขำๆ ว่า ถ้าเกิดดูภาคนี้ทีไรแล้วเกิดอารมณ์อยากดูภาค 1 – 4 อีกแบบนี้ทุกรอบล่ะก็ สงสัยมีอันต้องเอา 5 ภาคมาดูเวียนวนลูปอีกหลายวันแน่นอน 555)
ถึงจุดนี้แล้วผมอยากชื่นชมเลยนะครับ กับทีมงานที่ทำหนังชุดนี้ออกมา ที่สามารถสร้างสรรค์ผลงานให้ออกมาดูสนุกและน่าติดตามแบบนี้ ที่สำคัญคือทำออกมา 5 ภาคแล้วเข้าท่าทั้ง 5 ภาคเลย โดยส่วนตัวแล้วผมจะชอบ 3 ภาคแรกมากกว่าครับ แต่ 2 ภาคหลังนี่ก็ถือเป็นส่วนเสริมที่ควรค่าแก่การรับชม – ไม่บ่อยนะครับที่จะมีใครทำหนังออกมาถึง 5 ภาคแล้วดูดีมีมาตรฐานไม่น้อยหน้าไปกว่ากันทั้ง 5 ภาคแบบนี้
สองดาวครึ่งเชิงบวกครับ
(7.5/10)