Overlord (2018) ปฏิบัติการโอเวอร์ลอร์ด

Untitled09321

จำได้ว่าตอนดูตัวอย่าง Overlord นี่ผมรู้สึกอยากดูมากเลยนะครับ โดยเฉพาะตอนเห็นภาพคนโดนทดลองมันรู้สึกว่าหนังน่าจะมีอะไรสดๆ ใหม่ๆ มาเสิร์ฟ แต่พอผ่านไปสักพักก็กลายเป็นเฉยๆ ไม่ได้อยากดูอะไรมาก ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมเส้นกราฟมันถึงเปลี่ยนได้ – ก็อยากบันทึกห้วงความรู้สึกนั้นไว้ครับ เผื่อสักวันจะนึกออกว่าทำไม

ส่วนตัวหนังนั้นก็เป็นแนวสงครามผสมกับซอมบี้ครับ เรื่องของหน่วยรบฟากอเมริกาที่ต้องแทรกซึมเข้าไปถล่มหอวิทยุของพวกเยอรมัน แต่ไปๆ มาๆ พวกเขากลับพบว่าที่ใต้หอวิทยุแห่งนั้นมีการทดลองอะไรบางอย่าง มันคือการทดลองเปลี่ยนมนุษย์ให้กลายเป็นอะไรที่น่าสยดสยอง ดังนั้นเหล่าทหารหาญเลยนอกจากจะต้องถล่มหอแล้ว ยังต้องหาทางหยุดยั้งการทดลองมรณะลงด้วย

ครั้นพอได้ดูก็รู้สึกว่าหนังเรื่อยๆ ครับ ดูได้เรื่อยๆ เพลินๆ แต่ไม่ถึงขั้นโดนใจแบบเต็มๆ ช่วงต้นๆ ก็ได้อารมณืหนังสงคราม ปูพื้นให้เรารู้จักตัวละครและภารกิจ จากนั้นพอทหารโดดร่มลงมาได้ก็หาทางแทรกซึมเข้าหมู่บ้าน ก่อนจะหาทางบุกไปถล่มหอวิทยุ ซึ่งช่วงกลางๆ นี่หนังค่อนข้างเรื่อยๆ สักหน่อยครับ และความตื่นเต้นชวนสยองก็ยังไม่มากด้วย ต้องรอจนผ่านกลางเรื่องไป พอตัวละครเริ่มได้เฉียดกรายเข้าไปในฐานทดลอง ตอนนั้นค่อยน่าสนใจขึ้น

แล้วก็ตามสูตรครับ มันต้องมีเรื่องขมวดให้เหล่าตัวเอกต้องบุกฐาน ช่วงหลังนี่ก็ค่อยดูสนุกขึ้น มีการยิงกัน มีระเบิด มีสยอง มีการไล่ล่า ว่าง่ายๆ คือครึ่งหลังก็ทำได้ไม่เลว แม้จะยังไม่ถึงกับเด็ดสุดๆ ก็ตาม แต่ก็ถือว่าพอได้ความระทึก ได้ความตื่นเต้นอยู่บ้าง

ฉากที่ผมชอบสุดนี่ยกให้ตอนที่โคลอี้ (Mathilde Ollivier) ตัวเอกสาวหนึ่งเดียวของเรื่องต้องวิ่งหนีการตามล่าของซอมบี้ทดลองน่ะครับ ฉากนั้นผมว่าทำออกมาได้ลุ้นมากนะ แล้วมันก็สยองแบบจับต้องได้ อารมณ์มันเหมือนเราเป็นโคลอี้น่ะครับ แล้วเธอก็ต้องเผชิญกับซอมบี้เพียงลำพัง ที่สำคัญคือฆ่ามันยากมาก เรายิ่งวิ่งหนีมันก็ยิ่งวิ่งตาม ไม่รู้มันจะโดดมาตะครุบเมื่อไร ไม่รู้จะวิ่งต่อไปทางไหน และไม่รู้ว่าจะมีตัวบ้าอะไรโผล่มาอีกหรือเปล่า ฉากนี้ถือว่าชอบสุดแล้วล่ะ

Untitled09322

ในแง่นักแสดง ตัวหลักๆ ถือว่าเลือกมาดีครับ Jovan Adepo ในบทเอ็ดเวิร์ด บอยซ์ รายนี้บุคลิกชัดเจนว่าเป็นคนเถรตรงและเป็นพระเอกตัวจริงที่ชอบเห็นใจคนอื่น อีกคนที่เด่นก็ Wyatt Russell รายนี้ก็ถือว่าเลือกมาเหมาะเช่นกัน เพราะหน้าตาท่าทางพี่แกดูออกแนวแบดๆ สักหน่อย ดูไปก็อดระแวงไม่ได้ว่านายคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่ คิดดีหรือไม่ดีก็ไม่รู้ ถือว่าเล่นกับความระแวงของคนดูได้เข้าท่าไม่น้อย

อีกรายที่ร้ายสมบทก็คือ Pilou Asbæk ในบทผู้กองฝ่ายนาซีที่ร้ายได้เสมอต้นเสมอปลาย มีทั้งความเจ้าเล่ห์และโหดร้าย ถือเป็นชูรสที่เข้าท่าสำหรับหนังครับ

โดยส่วนตัวแล้วผมว่าหนังหนักไปทางสงครามมากกว่าจะเป็นเรื่องซอมบี้ครับ คือกว่าจะเจอความสยองของซอมบี้จริงๆ ก็ปาไปครึ่งท้ายแล้ว และบทบาทของซอมบี้ในเรื่องก็ไม่ถึงกับเยอะอะไร ดังนั้นใครคาดหวังจะดูหนังซอมบี้ก็อาจต้องปรับความคาดหวังสักนิดครับ อย่างที่บอกน่ะว่าหนังหนักสงครามมากกว่า และจะว่าไปแล้วหนังก็มีกลิ่นอายของการรำลึกถึงหนังสงครามเก่าๆ หรือหนังที่ว่าด้วยการทดลองกลางสนามรบอยู่บ้าง แต่ลีลาลูกเล่นของหนังอาจยังไม่เยอะเท่านั้นเอง

ก็ถือว่าเป็นหนังที่ดูได้เพลินๆ ครับ อย่างผมนี่ก็รู้สึกโอเคในระดับกลางๆ แต่คงดูแค่รอบเดียว เพราะไม่ได้ติดใจอะไรขนาดนั้น

สองดาวกว่าครับ

Star21

(6.5/10)