(มิวนิค ปากเหวสงคราม) ภาพยนตร์ดราม่าทริลเลอร์ เขียนบทโดย Ben Power และกำกับโดย คริสเตียน ชโวโชว์ ผู้กำกับผู้เคยทำผมกับคนดูเหวอมาแล้วกับ เราคือคาร์ล โดยดัดแปลงจากหนังสือขายดีคำวิจารณ์เยี่ยมเรื่อง Munich ของ โรเบิร์ต แฮร์ริส ว่าด้วยการประชุมข้อตกลงมิวนิกปี 1938 เพื่อนรักชาวอังกฤษและเยอรมันกลับต้องร่วมมือเพื่อปกป้องฝั่งของตัวเองในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่กองทัพฮิตเลอร์นั้นเริ่มแผนรุกรานยุโรป
ภาพยนตร์เรื่องนี้ถือว่าเป็นการรวมดาวมือรางวัลออสการ์มากมายที่น่าจับตาทั้งเจเรมี่ ไอร่อนส์ ผู้คว้าออสการ์ เอมมี่ และโทนี่ บทบาทของพ่อบ้านอัลเฟรดจากภาพยนตร์จักรวาล DC และเพิ่งจะฝากผลงานสุดเริ่ดอย่าง House of Guici ของริดลีย์ สก็อตต์ที่กวาดเงินไปแล้วกว่า 100 ล้านเหรียญ ไหนจะได้ประชันกับจอร์จ มักคาย ดาราชายน่าจับตามองที่กวาดรางวัลมามากมายจากบททหารส่งจดหมายสะท้อนความเป็นมนุษย์สามัญใน 1917 อีกทั้งยังได้ยันนิส นีเวอเนอร์ นักแสดงจากหนังเรื่องก่อนหน้า เราคือคาร์ล ภาพยนตร์ยังได้รับคำวิจารณ์เกือบ 100 เปอร์เซนต์ในเว็บ Rotten Tomatoes อีกด้วย ชักน่าสนใจแล้วว่ามันจะออกมาเป็นแบบไหน เมื่อมันฉายในเน็ตฟลิกซ์หลังจากฉายจำกัดโรงเมื่อปีที่แล้ว
ตัวอย่าง Munich – The Edge of War (มิวนิค ปากเหวสงคราม)
รีวิว Munich – The Edge of War (มิวนิค ปากเหวสงคราม)
เรื่องย่อ Munich – The Edge of War
เรื่องราวอื่นที่น่าสนใจ
รีวิว Swarm อเมริกันไซโคเด็กสาวผิวดำ Gen Z (ไม่สปอยล์)
รีวิว Carnival Row SS2 ไฟนอลซีซั่นที่คงคุณภาพงานทุกอย่างไว้ได้เป็นอย่างดี (ไม่มีสปอยล์)
ในฤดูใบไม้ร่วงปี 1938 ยุโรปกำลังจะเข้าสู่สงคราม อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เตรียมบุกเชโกสโลวาเกีย และฝ่ายพันธมิตรอย่างอเมริกันต้องถอยกลับไปเมือ รัฐบาลของเนวิลล์ เชมเบอร์เลนพยายามทุกวิถีทางที่จะหาทางออกอย่างสันติ แม้ต้องก้มหัวให้กับฝ่ายอักษะอย่างเยอรมัน ความกดดันทวีขึ้นเรื่อยๆ ฮิวจ์ ลีแกต เจ้าหน้าที่รัฐของอังกฤษ และพอล ฟอน ฮาร์ทมันน์ นักการทูตเยอรมันจึงเดินทางไปมิวนิกเพื่อเข้าประชุมวาระฉุกเฉิน เมื่อการเจรจาต่อรองเริ่มต้นขึ้น เพื่อนเก่าทั้ง 2 คนกลับต้องตกอยู่ท่ามกลางวังวนของกลอุบายทางการเมืองและอันตรายที่แท้จริง ขณะที่ทั่วโลกกำลังเฝ้าจับตามอง ความสัมพันธ์ในอดีตที่ค้างคาของผู้ชายสองคนก็ค่อย ๆ ถูกกะเทาะออกพร้อม ๆ กับเส้นขนานของชะตากรรมยุโรปที่เริ่มแตกออกอย่างช้า ๆ เมื่อผู้นำทั้งสองฝ่ายเข้ามาเกี่ยวตรงกลาง อุดมการณ์ที่ต่างนั้นนั้นอาจนำมาซึ่งจุดจบที่ไม่มีใครคาดถึง เว้นเสียแต่พวกเขาจะร่วมมือกันเพื่อหยุดยั้งวิกฤตครั้งนี้
เรื่องราวถูกบอกเล่าตัดสลับระหว่างอดีตกับปัจจุบันเป็นระยะ ๆ ในช่วงต่าง ๆ แม้ว่าจะไม่ได้เน้นย้ำความสำคัญของเรื่องราวแต่ก็สะท้อนความหวังและความสิ้นหวังของตัวละครในช่วงเวลาเหตุการณ์ในตอนนั้น อารมณ์ที่แสนเข้มข้นและกดดัน ทุกอย่างอยู่ระหว่างความเป็นและความตาย อาจจะปูเรื่องช้าไปหน่อย แต่พอเครื่องเดินคือลุ้นแถมไม่ห่างจอ ลุ้นว่าตัวละครจะพลาดมั้ย เพราะสถานการณ์คือไว้ใจใครไม่ได้ และเน้นเล่าการเมืองที่อิงจากประวัติศาสตร์ของนายกอังกฤษที่ทำให้สงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดขึ้น ถ้าใครเรียนประวัติศาสตร์มาจะเข้าใจทันทีว่าบทสรุปของเรื่องจะเป็นยังไง แต่หนังก็ยังขับเน้นความสัมพันธ์ของผู้ชายสองคนที่รักกันแต่อุดมการณ์ทำให้พวกเขาแยกจากและพบกันอีกครั้งในเมืองมิวนิกที่ดูเยือกเย็นแต่จริง ๆ ก็ลุกเป็นไฟ ต่างฝ่ายต่างก็พยายามเข้าหากันและกัน กลายเป็นฉากที่เปี่ยมด้วยอารมณ์เรียกน้ำตาแบบไม่ต้องฟูมฟายและเป็นธรรมชาติ นอกจากนี้หนังยังยอดเยี่ยมเล่าแบบหักมุมโดยการแอบหยอดความน่าสงสัยให้เราลุ้นว่าฝ่ายที่เรากำลังติดตามเป็นฝ่ายไหน โดยไม่ต้องใช้ฉากแอ็คชั่นใด ๆ เรียกว่าเป็นหนังดราม่าสุดระทึกที่ดีมาก แม้ว่าพล็อตเรื่องโดยรวมจะยังธรรมดาไม่ได้ขนาดยอดเยี่ยมออสการ์ แต่ก็ถือว่ายอดเยี่ยมเกินมาตรฐานเน็ตฟลิกซ์ทั่วไปแล้ว ถือเป็นการคืนฟอร์มของผู้กำกับเลยที่ใส่ใจรายละเอียดในตัวละครจนเราหลงรักและเอาใจช่วย พร้อมจะสาปแช่งบางตัวไม่ได้พยายามชักจูงคนในแบบสุดโต่ง เหมือนกับหนังเรื่องก่อนอย่างเราคือคาร์ล
ตัวละครในเรื่องถือว่าโดดเด่นและมีความน่าสนใจมาก อาจเพราะมันอิงจากหนังสือ จึงค่อนข้างมีมิติและมีความกลืนไม่เข้าคายไม่ออกในสถานการณ์ของเรื่องทำให้เรารู้สึกเข้าใจในเหตุผลของตัวละคร ฮิวจ์ ลีแกต คือตัวแทนของคนอังกฤษไม่ค่อยสนใจอะไร แต่ก็รู้ว่าฮิตเลอร์นั้นไม่ดีที่จะเป็นผู้นำ แต่เขาไม่เคยทำอะไรนอกจากทำตามคำสั่ง จนเขาได้เรียนรู้ความเจ็บปวดของคนรอบข้าง ทั้งเพื่อนรักและครอบครัว จากการนิ่งเฉยและใจเย็น ทำให้เขาต้องสูญเสียสิ่งสำคัญในชีวิต แม้จะมีความหวังอยู่กับตัวก็ตาม เขาได้เห็นความชั่วร้ายแม้แต่กับผู้นำของตัวเองและเลือกที่จะออกจากวงจรแห่งความรุนแรง พอล ฟอน ฮาร์ทมันน์ คือคนที่ฉลาด ช่างวางแผน และทะเยอทะยานที่เคยหลงทางเพราะเชื่อมั่นว่าผู้นำคนใหม่จะนำพาชาติเจริญและความเท่าเทียมจนเขาได้เห็นผลของมันและหันหลังทำหน้าที่สายลับคอยหาทางวางแผนทำลายล้างผู้นำ จนกระทั่งเขาได้พบกับเพื่อนรักและเข้าใจอุดมการณ์ที่มีร่วมกันและดึงดันที่จะเดินหน้าต่อไปแม้ว่าจุดจบจะเป็นยังไงก็ตาม เนวิลล์ เชมเบอร์เลน ตัวละครในประวัติศาสตร์โลกในยุค 1938 ผู้ที่เลือกจะลงนามอ่อนข้อให้กับเยอรมัน แม้จะรู้ว่าผลที่ตามมาจะเป็นยังไง เพราะเขาขี้ขลาด และเชื่อว่าตัวเองจะสามารถรักษาความสงบ โดยไม่รู้เลยว่าอดอฟฟ์ ฮิตเลอร์มีแผนการอะไร เพราะฉะนั้นแล้ว ชะตากรรมของตัวละครทุกตัวจึงถูกผูกโยงในประวัติศาสตร์จริงและมีหนทางต้องตัดสินใจ ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม
ประเด็นหลักสำคัญของเรื่องนี้คือสะท้อนความโหดร้ายของสงครามโลกครั้งที่ 2 ในช่วงที่อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้นำฝ่ายอักษะที่ต้องการจะทำสงครามขยายดินแดนเพื่อกระจายความคิดอันต่ำช้าและน่ารังเกียจในประเทศที่เกลียดคนยิวและเหยียดหยาม ทำร้าย และฆาตกรรมได้โดยไม่รู้สึกอะไร เพราะเขาเชื่อว่าพวกเขาเป็นผู้มีอำนาจมากกว่าใคร ๆ ชี้ชะตาใครก็ได้ และทุกคนก็พร้อมจะเชื่อฟัง นอกจากนี้ยังสะท้อนความโง่ของผู้นำที่ตัดสินใจทุกอย่างได้ไม่ฉลาดและทำได้เพียงแค่ซื้อเวลาแต่ไม่เคยแก้ปัญหาจริง ๆ แม้จะมีผลที่ตามมาแต่ก็มองข้ามและเชื่อมั่นในตัวเองจนนำพาหายนะมาสู่ประเทศ อุดมการณ์ทางการเมืองของคนสองฝั่งที่แม้จะต่างกัน แต่เมื่อมองเห็นศัตรูหรือปัญหามาจากจุดเดียวกัน เราก็ควรจะร่วมมือกันไม่ว่าจะเป็นชาติไหน ๆ เป็นเพื่อนเป็นครอบครัว เหมือนการเมืองในแต่ละประเทศที่มัวแต่เถียงกันแต่ไม่ยอมแก้ปัญหา สุดท้ายมันก็เรื้อรั้งเกินจะแก้ไข ทำได้แค่ปล่อยมันไป ความหวังอาจจะมีตลอด แต่มันอยู่ที่เราไขว่คว้าและตัดสินใจทำ ไม่ว่าผลนั้นจะออกมาดีหรือแย่ ถ้าได้ทำมันก็ไม่เคยสูญเปล่า สุดท้ายโลกก็ต้องก้าวไปข้างหน้า ความชั่วร้ายก็จะต้องผ่านไปเช่นกัน ขอแค่เราหาหนทางอย่างมีสติ ไม่สิ้นหวังเท่านั้นเอง
ในส่วนของการถ่ายภาพกับมุมกล้องมันดีมาก อาจจะไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ แต่มันมอบบรรยากาศปี 1938 ที่เป็นเบื้องหลังไม่ใช่ฉากสงคราม แต่ทำให้เรารู้สึกถึงมันได้โดยไม่ต้องมีฉากตูมตาม มุมกล้องที่ถ่ายตัวละครให้เห็นและดนตรีประกอบที่หน่วงและชวนระทึกไปกับสถานการณ์ในเรื่องเรียกได้ว่ายอดเยี่ยม แต่ที่ต้องยกนิ้วให้คือทีมนักแสดงตั้งแต่ จอร์จ แมคคาย ที่สวมบทชายผู้เฉยชาและนิ่งเฉยและดูไม่ค่อยมีความแน่วแน่กระตือรือร้น ไร้ความเป็นสายลับที่ถูกส่งมาจนได้เรียนรู้ความจริงและระเบิดอารมณ์ในซีนอารมณ์ เคมีความเป็นเพื่อนรักเข้ากับยานนิส นีเวอห์เนอร์ที่นิ่งและน่าค้นหาและสวมบทสองหน้าได้อย่างแนบเนียน แต่ก็ได้ซีนดี ๆ อย่างซีนใจสลายแบบเรียบง่ายและตอนท้ายที่ทำเอาน้ำตาแตก ในขณะที่เจเรมี่ ไอร่อนส์ เหมือนมาให้เรารังเกียจและอยากต่อยหน้ากับบทบาทของเขาที่ไม่ได้โชว์อะไรนอกจากผู้นำตะโกนกับกวนประสาท เจสซิก้า บราวน์ ฟินด์เลย์ แม้บทจะมีไม่มากแต่ก็แสดงได้ดีในซีนปะทะกับจอรจ์ ซานดร้า ฮือเลอร์ในบทสมทบที่ยอดเยี่ยมและเป็นส่วนสำคัญของเรื่องที่ออกมาไม่มากแต่ก็ดี แอนจ์ลี โมฮินดราน่าจะเป็นบทที่น้อยที่สุดเพราะออกมาไม่ได้ทำอะไร แต่ขโมยซีนและเป็นจุดเปลี่ยนที่สุดของเรื่อง นอกนั้นก็แสดงได้ดีตามบทเพราะเป็นนักแสดงมีฝีมืออยู่แล้วอย่างอุลริค มัตเทส ในบทอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ที่ดูแปลกตาแต่ก็ทำให้เราเชื่อได้ว่าแม้ไม่ได้เป็นผู้นำสงคราม เขาก็ยังเป็นเผด็จการที่น่าสะพรึง
สรุป Munich – The Edge of War (มิวนิค ปากเหวสงคราม) สนุกและดีไหม?
ไม่ได้เป็นหนังสนุกหรือให้ความบันเทิง แต่ดีในแง่คุณภาพของความระทึกผสมกับดราม่าอย่างลงตัว ตัวละครที่มีปมและความขัดแย้งที่น่าสนใจและเชื่อมโยงกับประเด็นประวัติศาสตร์ ด้วยการเล่าเรื่องที่น่าติดตามและเดาทางแทบไม่ออก ชวนให้สงสัยว่าไว้ใจใครได้มั้ย พร้อมด้วยนักแสดงคุณภาพรางวัลออสการ์และภาพยนตร์อย่างคับคั่ง เพลงประกอบที่บิวต์อารมณ์อย่างสุดหน่วง เรียกได้ว่าเป็นหนังที่ดูเพื่อเรียนรู้บริบทประวัติศาสตร์และความโหดร้ายที่ดีกว่าหนังเรื่องก่อนของผู้กำกับ และกลบจุดด้อยที่ผมเคยวิจารณ์ไปเกือบหมด เว้นเสียแต่ หนังยังค่อนข้างเล่าเรื่องช้าในช่วงแรก และหนังค่อนข้างเนือยไม่ได้ลุ้นระทึกขนาดนั้นในแง่ของความบันเทิงหรือโฉ่งฉ่าง แต่ก็เป็นภาพยนตร์ดี ๆ ที่เหมาะกับทุกคน หรือแม้แต่ใครที่ดูคิงส์แมนภาคต้นหรือหนังแนวสายลับยุคสงครามโลกมาแล้วอยากจะสัมผัสบรรยากาศเพิ่มขึ้นมาหน่อย ขอแนะนำให้ชมเดี๋ยวนี้เลยครับ