ตอนดูตัวอย่าง Love and Monsters ก็ไม่ได้รู้สึกอยากดูอะไรมากครับ ยังคิดๆ ด้วยว่าหนังจะออกมาเวิร์กไหมหนอ เพราะว่าตามจริงหนังแนวนี้มีออกมาเรื่อยๆ แต่ที่สนุกเข้าท่าเข้าทางนั้นมีอยู่ไม่มาก ครั้นพอได้ดูเท่านั้นแหละ ผมชอบเลยครับทีนี้
หนังมาในแนว Zombieland น่ะครับ แต่เปลี่ยนจาก “โลกที่เต็มไปด้วยซอมบี้” เป็น “โลกที่เต็มไปด้วยสัตว์กลายพันธุ์” ประมาณว่ามีแมลงยักษ์สัตว์ยักษ์เพ่นพ่านเต็มโลก จนมนุษย์ต้องหลบไปอาศัยอยู่ใต้ดิน และพระเอกของเราก็คือ โจเอล (Dylan O’Brien) ครับ นายคนนี้เวลากลัวอะไรก็จะกลัวแบบตัวแข็ง (ซึ่งจุดนี้มีปมจากอดีตที่หนังจะบอกเราอีกทีครับ) แต่ทีนี้พอเวลาผ่านไปใจเขาก็เริ่มเหงาครับ เพราะส่วนใหญ่คนในฐานใต้ดินที่เขาอาศัยอยู่นั้นจะมีคู่กันหมด ในขณะที่คนรักของเขาที่ชื่อเอมี่ (Jessica Henwick) เธออยู่อีกฐานหนึ่งที่ไกลออกไปเป็นร้อยกิโลเมตรเลย
แล้วพอถึงจุดหนึ่งเขาก็ตัดสินใจแบกเป้ออกไปเผชิญโลกกว้าง หมายจะเดินทางไปให้ถึงฐานที่เอมี่อยู่ เพื่อที่เขาจะได้บอกรักเธอ และจะได้มีความสุขแบบคู่อื่นๆ เขาบ้าง แล้วนั่นล่ะครับคือจุดเริ่มต้นของการผจญภัยในโลกที่เต็มไปด้วยอันตรายจากสรรพสัตว์ขนาดใหญ่ที่พร้อมจะขย้ำเขาทุกเมื่อ
ผมชอบครับ เรื่องนี้คือชอบเลย ผมมองว่าหนังเรื่องนี้มี “ความพอดี” แบบพอเหมาะพอเจาะ จบทำให้หนังออกมากลมกล่อมตามแนวทางของมัน… พอดีในที่นี้คืออะไร? พอดีก็คือพอดีน่ะครับ ไม่มากไป ไม่น้อยไป ดาราเล่นกันแบบพอดี ไม่เยอะจนล้น – การผจญภัยก็ตื่นเต้นแบบพอลุ้น คือมันอาจจะไม่ถึงขั้นลุ้นจนลิืมหายใจ แต่ก็พอให้เราตื่นเต้นได้บ้าง – มุกขำๆ ก็มีแบบพอเหมาะ ไม่จงใจให้ขำจนเกินงาม – การเล่าเรื่องก็จังหวะดี แม้จะไม่ถึงกับสุดยอดสุดเยี่ยมไม่ถึงกับน่าติดตามมหาศาล แต่ก็พูดได้เต็มปากว่าอยู่ในระดับกำลังดี มีพลังมากพอที่จะทำให้เราอยากดูต่อไปจนจบได้ – ก็ประมาณนี้ล่ะครับ ความพอดีที่ผมหมายถึง
ตัวหนังไม่ได้สดใหม่อะไรครับ อย่างที่บอกว่าออกแนว Zombieland น่ะแหละ แต่ด้วยความพอดีในแต่ละองค์ประกอบที่ผมบอกนั้นทำให้หนังดูเพลิน แบบที่ผมชอบบอกเสมอน่ะครับว่าบางทีหนังไม่ต้องสดใหม่มีไอเดียถอดด้ามอะไรก็ได้ จะเอาสูตรเดิมๆ มาใช้ก็ได้ แต่ขอให้คนทำรู้จังหวะจะโคน เล่าหนังเป็น เสริมลูกเล่นให้หนังได้ และคุมทิศทางหนังให้ดี แค่นี้ก็โอมากๆ แล้ว
ว่าตามจริงหากจะคิดมากสักหน่อย หนังก็มีจุดโหว่อยู่หลายอย่างครับ เอาแค่เรื่องเกี่ยวกับสัตว์ยักษ์ที่จะว่าไปถือว่ามีค่อนข้างน้อยกว่าที่คิด เพราะตามหลักแล้ว แมลงนั้นมีอยู่เต็มโลกครับ ถ้าพวกมันตัวโตขึ้นมานี่มันย่อมกระจายอยู่เต็มไปหมด ชนิดที่ไม่น่าจะมีที่ว่างให้มนุษย์เดินได้ด้วยซ้ำ แต่นี่แมลงค่อนข้างโผล่น้อยจนโจเอลเดินดินได้โดยปราศจากภัยได้เป็นส่วนใหญ่ – อันนี้ผมมาคิดได้หลังดูจบน่ะนะครับ แต่ระหว่างดูนี่มันเพลินจนไม่ได้คิดเรื่องพวกนี้สักเท่าไร จริงๆ แม้ตอนนี้ผมจะเริ่มเห็นจุดโหว่แต่ผมก็ยังชอบหนังเรื่องนี้อยู่ดี เพราะตัวหนังมันเพลินดีน่ะครับ – และจะว่าไปแล้วจุดโหว่ที่ผมยกตัวอย่างมานั้น มันก็อาจจะเป็นอะไรที่ผมพร้อมจะมองข้ามอยู่แล้วก็ได้
เพราะลองๆ มาคิดดู ถ้าหนังมันยึดตามหลักจริงๆ แล้วมีแมลงเพ่นพ่านเยอะมากจนตัวเอกของเราไม่มีทางรอดเลย หนังคงหดหู่น่าดู แต่เท่าที่หนังเป็นนี่คือมันออกแนว Feel Good อยู่ในทีครับ เป็นการเล่าเรื่องหลังวันสิ้นโลกแบบมีความหวัง ซึ่งผมว่ามันอาจเป็นเพราะอันนี้แหละครับที่ทำให้ผมรู้สึกชอบหนังเรื่องนี้ คือมันดูแล้วมีกำลังใจ ดูแล้วจิตไม่ตก ดูแล้วรู้สึกเชิงบวก มันเลยทำให้การดูหนังเรื่องนี้ต่อมสุขใจทำงานมากกว่าต่อมทุกข์ทน
เพราะแบบนี้ล่ะกระมัง ผมเลยรู้สึกดีถึงขั้นว่าจะเอาหนังเรื่องนี้มาดูอีกรอบ (หรือมากกว่า 1 รอบ) แน่นอน
ดังนั้นหากจะประเมินเบื้องต้น ผมว่าหนังอาจไม่เหมาะสำหรับคนที่ชอบอะไรที่มันจริงจัง หนักๆ หรือโหดๆ ครับ เพราะหนังไม่ได้น่ากลัวอะไรมากมาย และไม่ได้โหดเลือดสาดอะไร (หนังได้เรต PG-13 เท่านั้นครับ ไม่ถึงขั้นเรต R) หรือกระทั่งฉากลุ้นระทึกก็ไม่ได้ลุ้นจัดๆ ถึงขนาดเกร็งไปทั้งตัว แต่มันลุ้นในระดับที่เราพอจะเห็นทางรอดของพระเอกน่ะครับ
ผมชอบความพอดีของตัวละครครับ ตัวโจเอลเองก็มีคาแรคเตอร์ที่น่าจดจำ คือเขาจะดูกล้าๆ กลัวๆ บ้าง แต่ขณะเดียวกันก็มีรัศมีความเป็นฮีโร่แฝงอยู่ แล้วมันก็ค่อยๆ เผยออกมาเมื่อการผจญภัยดำเนินไป ซึ่งในแง่หนึ่งหนังก็มีความเป็น Coming of Age ครับ ตัวโจเอลเองก็มีพัฒนาการไปตามลำดับ จากคนหงอๆ ในตอนแรกก็กลายเป็นคนที่กล้ามากขึ้น และรู้จักคิดมากขึ้น และนั่นทำให้ผมรู้สึกชอบตัวละครนี้ครับ ประมาณว่าพอดูจบแล้วอยากบอกว่า “เราชื่นชมนายนะ โจเอล นายอาจไม่ได้เจ๋งที่สุด แต่นายก็เจ๋งมากพอดูเลยล่ะ”
****เอาล่ะครับ ผมว่าผมพูดไปผมก็จะเริ่มสปอยล์แล้วล่ะ
ดังนั้นถ้าไม่อยากทราบก็ไม่ควรอ่านต่อน่ะนะครับ
รู้แค่ว่าหนังเรื่องนี้สนุกดีครับ อยากให้ลองรับชมกัน*****
ความพอดีที่ผมชอบประเด็นต่อมาคือสัดส่วนการปรากฏตัวของตัวละครในเรื่องครับ อันนี้ใครดูตัวอย่างหรือดูโปสเตอร์ก็คงพอจะทราบว่าระหว่างทางโจเอลจะได้เจอกับเพื่อนร่วมทางอย่างไคลด์ (Michael Rooker) และหนูน้อยมินเนาว์ (Ariana Greenblatt) ซึ่งคาแรคเตอร์ของพวกเขาก็น่าจดจำครับ ทำให้รสชาติตอนกลางๆ เพิ่มขึ้นแบบพอเหมาะ พวกเขามาช่วยสอนวิธีเอาตัวรอดให้โจเอล ทำให้โจเอลโตขึ้น แต่จุดที่ผมชอบก็คือพอถึงจุดหนึ่งโจเอลกับพวกเขาก็ต้องแยกทางกันครับ แล้วแยกในที่นี้คือแยกจริงๆ โจเอลมุ่งหน้าไปที่ฐานของเอมี่ต่อ ส่วนไคลด์กับมินเนาว์ก็ไปอีกทางหนึ่ง มันทำให้รู้สึกได้อารมณ์ Real อยู่ในทีเหมือนกัน
เพราะในชีวิตจริงนั้น คนเรามีเจอก็ต้องมีจากครับ ตอนจากกันแต่ละฝ่ายก็ทำได้เพียงส่งความปรารถนาดีให้ และอวยพรให้ปลอดภัย และพอจากกันแล้วจะได้เจอกันอีกไหมก็ไม่รู้ อันนี้ผมพูดในเชิงอินตามหนังน่ะนะครับ คือถ้าดูในหนังไปจนจบน่ะคงพอเดาได้แหละว่ายังไงพวกเขาก็คงได้เจอกันในอนาคต แต่ผมพูดถึง ณ โมเมนต์ตอนนั้นมันคือการจากกันจริงๆ จากกันแบบไม่รู้จะได้เจอกันไหม ต่างคนต่างเดินไปตามทางแยกของชีวิต (ไม่ได้มีการแอบตามไปแล้วเซอร์ไพรส์ช่วยอีกฝ่ายตอนคับขัน) ซึ่งโมเมนต์อำลาที่ว่านี้ ผมว่ามันก็ “พอดี” ในแบบของมันอีกเช่นกัน
จุดชอบต่อมาก็คือตอนโจเอลไปเจอเอมี่น่ะครับ จริงๆ ผมก็แอบคิดนะว่าหนังจะพาเราไปไหน จะให้โจเอลและเอมี่ได้คู่กันเลยไหม หรือจะเป็นอย่างอื่น ซึ่งก็ดีครับที่หนังเลือกที่จะให้มัน “เป็นอย่างอื่น” คือกลายเป็นว่าโจเอลอยากเจอเอมี่มาก และอยากบอกรักกับเอมี่ แต่เอมี่ไม่ได้รู้สึกแบบนั้นแล้ว (จริงๆ คือเธอเคยมีคนรักอื่นด้วยซ้ำ) ซึ่งมันเป็นอีกจุดหนึ่งที่ทำให้เรื่องราวมันดูมีอะไรน่ะครับ และที่สำคัญคือมันทำให้เราเห็นตัวตนของโจเอลด้วยว่าเขาเป็นอย่างไร และเขาเลือกจะทำอะไรต่อไป ซึ่งสุดท้ายทางที่เขาเลือกก็ทำให้คนดูตระหนักครับว่าเขามีพัฒนาการ เขาโตขึ้นผ่านการผจญภัยครั้งนี้จริงๆ
ผมไม่ปฏิเสธครับว่าหลายอย่างมันลงสูตร แม้แต่การเดินเรื่องแบบนี้ พล็อตเรื่องแบบนี้ก็ไม่ได้ใหม่อะไร แต่การนำเสนอมันพอเหมาะพอดีครับ ซึ่งก็ต้องขอชมผู้กำกับ Michael Matthews ที่คุมหนังเรื่องนี้ได้อย่างพอเหมาะ คือมันอาจจะไม่ได้มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษน่ะนะครับ แต่มันกำลังดี มันดูสนุก มันดูแล้วชวนให้อยากรู้ว่าเรื่องจะเป็นอย่างไรต่อ แม้จะพอเดาเรื่องต่อได้ก็ตาม แต่ด้วยโทนของหนัง ด้วยคาแรคเตอรของตัวละครมันทำให้เราอยากติดตามดูต่อไปจนจบ – สำหรับผมแล้ว มันรู้สึก “สบายใจที่จะดูต่อจนจบ” น่ะครับ – หนังมันคงถูกจริตผมจริงๆ นั่นแหละ
และถ้าถามว่าผมชอบฉากไหนที่สุด ต้องฉากนี้เลยครับ ฉากที่โจเอลไปเจอกับหุ่นมาวิสที่กลางทางน่ะครับ ฉากนี้โดนใจผมมาก ทุกอย่างมันได้ที่กำลังเหมาะ เป็นฉากที่มีครบทั้งความอบอุ่น-ความอ้างว้าง ความครึกครื้น-ความเปลี่ยวเหงา ความกลัว-ความสงบ ความสิ้นหวัง-ความหวัง ความมืด-แสงเรืองรอง เป็นฉากที่สวยงามและมีความหมายจริงๆ – ไหนจะเพลงที่มาวิสเลือกเปิดอีก คือมันใช่น่ะครับ ใช่ ใช่ และใช่แบบสุดๆ ไปเลย – อยากขอชมคนคิดฉากนี้เลยครับ คิดได้ดีมากๆ ไหนจะบทพูดของมาวิสอีก คือเป็นบทพูดที่ดูเป็นหุ่นยนต์นะครับ แต่โคตรจับใจเลย – และการที่ฉากนี้จบลงด้วยการแบตหมดของมาวิสและคำขอบคุณของโจเอล มันคือการจบฉากลงอย่างสวยงามและพอเหมาะจริงๆ
สารภาพเลยครับว่าผมรู้ตัวนะว่าตัวเองออกจะชอบหนังเรื่องนี้จนออกนอกหน้า แต่มันก็ชอบจริงๆ น่ะครับ มันถูกจริตผมมากๆ ประหนึ่งว่าหนังถูกสร้างมาเพื่อให้คนอย่างผมดูแล้วชอบยังไงยังงั้น แม้จะมีจุดโหว่จุดพร่องแต่ผมก็พร้อมจะมองข้ามเพราะจุดที่ชอบมันเข้าตามากกว่า ดังนั้นที่ผมเขียนไปเยอะแยะนี่กรุณาอย่าเชื่อผมมากครับ ลองดูและตัดสินด้วยตนเองจะดีที่สุด และผมก็อยากให้ลองดูนะ คืออย่างมากถ้าไม่ชอบก็คือไม่ชอบน่ะครับ แต่ถ้าท่านชอบขึ้นมานี่ท่านจะรู้สึกฟินแบบผมเลยนะ แล้วในฐานะคนที่ฟินเนี่ย บอกได้เลยว่าความรู้สึกฟินแบบนี้ มันเป็นอะไรที่รู้สึกดีจริงๆ
เอาเป็นว่าผมอยากให้ลองชมกันครับ ถือเป็นหนังสัตว์โลกน่ารัก-หลังโลกวิบัติที่ทำออกมาได้พอเหมาะมากเรื่องหนึ่ง ดูสนุก และดูเพลินดีครับ
สองดาวครึ่งบวกๆ ครับ
(7.5/10)