John Carpenter’s Escape from L.A. (1996) แหกด่านนรก แอล.เอ.

Untitled06230

ว่าตามจริงผมชอบ Escape From New York มากกว่าครับ แม้จะไม่ได้มันส์อะไรมากแต่มันมีความกลมกล่อมสำหรับหนังผจญภัยในโลกอนาคตที่เสื่อมทราม มีความลงตัวพอดีในแง่การเดินเรื่อง ในขณะที่ Escape From L.A. นี่ ความลงตัวค่อนข้างน้อยกว่า การเดินเรื่องมีช่วงอืดช้าและในแง่ความมันส์ก็ยังไม่ถึงเครื่อง

แต่ผมยอมรับครับว่าภาค L.A. นี่ มีของดีๆ เยอะ เริ่มจากจินตนาการที่ผมว่าจัดเต็มกว่าภาคแรก เราจะได้เห็นสภาพบ้านเมืองอันเสื่อมโทรมของโลกอนาคตได้ดีขึ้น งานเทคนิคหรืองานถล่มข้าวของก็ดูดีขึ้น ส่วนหนึ่งก็เพราะทุนที่ใช้ทำภาค L.A. นี้คือ $25 ล้าน มากกว่าภาคแรกที่ลงทุนไปประมาณ $8 ล้าน จึงทำให้ไม่แปลกที่ภาค L.A. จะดูมีอะไรมากกว่า

จุดที่ผมชอบของภาคนี้คือหนังวาดภาพให้เราเห็นสังคมในอนาคต (แบบในหนัง) ได้ชัดดีครับ เราเห็นทางฟากฝั่งของประธานิธิบดี ได้เห็นทางฟากฝรั่งของก๊กแก๊งต่างๆ ได้เห็นรายละะเอียดของแต่ละพื้นที่ อย่างโซนของหมอศัลยกรรมในเบเวอร์ลี่ ฮิลล์อะไรแบบนี้เป็นต้น ซึ่งมันเพิ่มความน่าสนใจให้กับหนังได้ไม่น้อย

และประเด็นที่ชอบมากๆ คือการวิพากษ์ผู้คนในแต่ละก๊กแก๊งที่ล้วนแต่มีด้านมืด เห็นแก่ตัว แต่ชอบสร้างภาพว่าตนเองสวยงาม+เปี่ยมคุณธรรม+มีหลักการเสียเต็มประดา ชนิดที่อยากบอกตรงๆ เลยว่าหากต้องไปอยู่ในยุคสมัยที่โลกเป็นอย่างในหนังแล้วล่ะก็ คงต้องขอลาโลกไปน่าจะดีกว่าครับ เพราะดูก็รู้ว่าอยู่ไม่เป็นสุขแน่ เพราะมันคือโลกแห่งการเอาตัวรอดแบบ 100% ผู้อ่อนแอนี่ถ้าไม่ตามก็ต้องตายสถานเดียว… อยู่นี่ทรมานกว่าตายเยอะ

เหตุการณ์ในภาคนี้เกิดในปี 2013 (หลังจากภาคแรก 16 ปี) โดยสเน็ค พลิสเกน (Kurt Russell) วายร้ายสายพระเอกของเรากลับมาอีกครั้ง (พูดให้ชัดคือ โดนทางการจับตัวมาอีกแล้ว) โดยหนนี้ท่านประธานาธิบดี (Cliff Robertson) สั่งให้สเน็คแหกด่านนรกไปยังแอล.เอ. ที่ซึ่งตอนนี้เป็นเหมือนแดนขังนักโทษและผู้ที่ถูกเนรเทศ ซึ่งลูกสาวของปธน. ที่ชื่อ ยูโทเปีย (A.J. Langer) ได้หนีไปอยู่ที่นั่น พร้อมทั้งขโมยเอาเครื่องมือไฮเทคที่จะสร้างผลลัพธ์สะเทือนโลกติดตัวไปด้วย

สเน็คเลยได้รับคำสั่งให้ไปล่าเธอพร้อมทั้งเอาเครื่องมือกลับมา และนั่นก็คือจุดเริ่มของการผจญภัยเสี่ยงตายทลายนรกครั้งใหม่ของสเน็คครับ

Untitled06231

ปู่ John Carpenter ผู้กำกับหนังเรื่องนี้ (และกำกับภาคแรกด้วย) บอกว่าเขาชอบภาคนี้มากกว่าภาคแรกเป็นสิบๆ เท่าครับ ซึ่งผมเข้าใจนะ เพราะดูก็รู้ว่าปู่เขาได้ปล่อยของแบบเต็มที่ อะไรที่คิดไว้ในหัวก็ได้เนรมิตให้เห็นเป็นภาพแบบเต็มๆ จนพูดได้ว่านี่คืองานในฝันของเขาครับ และเขาก็ได้ทำตามฝัน ในแง่หนึ่งหนังภาคนี้ก็คล้ายๆ จะเป็นการรีเมคจากภาคแรก เพราะองค์ประกอบหลายอย่างเหมือนกัน ธีมเหมือนกัน สิ่งที่สเน็คต้องเผชิญก็คล้ายกันมากๆ ที่ต่างออกไปคือทุนสร้างที่หนาขึ้นเลยทำให้ภาพในหนังมันดูอลังขึ้น

จุดนี้ผมเห็นด้วยครับว่าของมันเยอะขึ้น รายละเอียดมันเยอะขึ้น กิมมิคบางอย่างก็เยอะขึ้น แต่พอดูแล้วก็อดรู้สึกไม่ได้ว่า ของต่างๆ ที่เห็นนั้น มันดูน่าสนใจก็จริง แต่ในแง่การเล่าเรื่องนั้นมันยังไม่ลงตัวสักเท่าไร

พอลองๆ มานึกดู ผมว่าที่ภาคแรกมันลงตัวพอเหมาะก็เพราะรายละเอียดมันไม่มาก การเดินเรื่องก็เลยเล่าแบบเนื้อๆ ให้เราเห็นว่าสเน็คเดินทางจากไหนไปไหน-ไปเพื่ออะไร-เจอตัวละครนั้นแล้วส่งผลยังไง-เจอเหตุการณ์นี้แล้วนำไปสู่อะไร กล่าวคือการที่รายละเอียดไม่เยอะ ทำให้จังหวะการเล่าเรื่องมันพอเหมาะพอดี ในขณะที่ภาคนี้ด้วยความที่ของมันเยอะครับ สถานที่เยอะ รายละเอียดเยอะ ตัวละครปลีกย่อยก็เยอะ การเดินเรื่องมันเลยเหมือนกับไปแวะตรงนั้นแป๊บๆ แล้วก็ต้องไปตรงนี้ต่อ แป๊บเดียวก็ไปตรงนั้นแล้ว

การที่หนังมีรายละเอียดที่ต้องเล่า (หรือต้องแวะ) เยอะ เลยทำให้จังหวะในการเล่าถึงแต่ละรายละเอียดนั้นมันค่อนข้างจำกัดครับ มันเลยไม่ได้ทำให้เรารู้สึกอินไปกับเรื่อง ไม่เหมือนภาคแรกที่ตัวละครหลักๆ มีไม่มาก แต่ละคนก็ได้แสดงอัตลักษณ์ของตัวเองออกมาตั้งแต่ฉากแรกที่ปรากฏตัวไปจนถึงนาทีสุดท้ายของแต่ละคน ซึ่งผมยอมรับนะว่าเวลาตัวละครในภาคแรกจากไปน่ะ มันก็อดสะเทือนใจไม่ได้เหมือนกัน และยังทำให้เรารู้สึกว่าบุคคลเหล่านั้น แม้จะเป็นคนนอกกฎหมาย แม้จะเป็นโจรก็ตาม แต่พวกเขาก็ยังมีจุดยืนและศักดิ์ศรีในแบบของตัวเอง

ในขณะที่ภาคนี้มิติตัวละครจะไม่เยอะครับ อันที่จริงต้องบอกว่าเราจะได้เห็นเฉพาะด้านไม่ดีของแต่ละคนเท่านั้น (นอกจากสเน็คที่มีครงทั้งด้านมืดและด้าน…เกือบๆ สว่าง) ในแง่หนึ่งก็อาจเป็นความตั้งใจของคนทำที่จะทำให้เห็นว่าคนในโลกยุคนั้นมันหาดีไม่ได้สักคน แต่ในอีกแง่มันก็ทำให้ความประทับใจบางประการ-บางตัวละครแบบที่เคยมีในภาคแรก พลอยหายไปด้วย

ครับ โดยรวมแล้ว ผมชอบในแง่ของจินตนาการนะ ชอบหลายๆ ฉากเลย อย่างฉากโต้คลื่นกลางเมืองนี่ก็เท่ห์ดีเหมือนกัน แต่หนังมาอ่อนพลังในส่วนของการเดินเรื่องที่ิออกจะเรื่อยๆ ไม่ได้ตื่นเต้นเร้าใจอะไรมากมาย ทั้งที่จริงๆ หนังก็มีฉากตื่นเต้นแทรกอยู่เป็นพักๆ และหนังก็ไม่ค่อยจะมีปมให้เราติดตามด้วย เหมือนให้สเน็คลุยด่านไปเรื่อยๆ น่ะครับ

Untitled06232

แม้ตัวหนังจะไม่ถึงกับสนุกเท่าภาคแรก แต่ผมว่าก็ยังดูได้เรื่อยๆ น่ะครับ สนุกไปกับการดูโลกอนาคตที่ช่างมืดมนที่ปู่ John สร้างขึ้นมา โดยเขาเขียนบทร่วมกับ Debra Hill และ Russell ส่วนนักแสดงนอกจาก Russell ที่มารับบทเดิมแล้ว คนอื่นๆ ก็แสดงกันได้โอเคตามที่หนังจะเปิดโอกาสครับ

ย้อนมาพูดถึงจุดที่ผมบอกว่าชอบสักหน่อย ผมชอบประเด็นการวิพากษ์สังคมในเรื่องจริงๆ ครับ เพราะหนังกัดแต่ละฝ่ายในสังคมได้แบบเห็นภาพ อย่าง ปธน. ในเรื่องก็เป็นพวกเห็นแก่ได้ เห็นแก่ตัว คิดแต่จะปกป้องผลประโยชน์ของตนเองและกำจัดคนที่คิดไม่เหมือนตนออกไป ในขณะที่คูเออร์โว โจนส์ (Georges Corraface) ผู้นำฝ่ายกบฏก็ร้ายพอกันครับ แต่รายนี้จะร้ายแบบชอบสร้างภาพว่าตนเองเป็นคนรักสันติ เป็นคนเคารพในอิสระและเสรีภาพ

อย่างการที่ยูโทเปียยอมขโมยของไปจากพ่อแล้ววิ่งไปซบอกคูเออร์โวนั่นก็เพราะภาพสวยๆ ที่คูเออร์โวนำเสนอให้ยูโทเปียเห็น ประมาณว่ายูโทเปียเห็นชัดๆ แล้วว่าพ่อของเธอเผด็จการอย่างร้ายกาจแค่ไหน พอเห็นคูเออร์โวมาในมาดเสรีชนคนรักอิสรภาพ เธอเลยยอมคล้อยตามและเชื่อฟังเขาแบบเต็มที่ แต่พอถึงจุดหนึ่งเธอก็ได้เห็นธาตุแท้ของเขา และพบว่าคนๆ นี้ก็ร้ายกาจ เผด็จการ ซ้ำยังเอาแต่ใจไม่น้อยไปกว่าพ่อของเธอเลย

นั่นก็เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เราเห็นสเน็คว่าเป็นพระเอกมากขึ้นครับ จริงๆ สิ่งที่เขาทำอาจไม่ใช่ฮีโร่ผู้ทรงธรรม แต่เขาเป็นคนมีหลักการในแบบของตัวเอง ต่อให้เอาตัวรอดก็จะเอาตัวรอดตามสถานการณ์ แต่จะไม่สร้างภาพ ไม่พูดจาสวยๆ หรูๆ เพื่อหว่านล้อมใคร ดังนั้นยิ่ง ปธน. และคูเออร์โวแสดงความเห็นแก่ตัวและความชั่วมากเท่าไร ความเป็นฮีโร่ (แบบผู้ร้าย) ของสเน็คก็ยิ่งเด่นมากขึ้นเท่านั้น

และจุดที่หนังกัดได้ดีอีกอย่างคือตัวยูโทเปียนั่นแหละครับ เพราะหนังนำเสนอตัวยูโทเปียเป็นหญิงสาวที่อ่อนต่อโลก โลกสวย และปรารถนาสิ่งที่สวยงามตามอุดมคติโดยไม่พิจารณาลืมตามองโลกรอบตัวว่าจริงๆ แล้วสังคมมันเลวร้ายแค่ไหน หรือมัวแต่มองเห็นคนเพียงแต่ด้านใดด้านหนึ่งจนเผลอหลงลมใครๆ แบบง่ายๆ

และการที่เธอมีชื่อว่า “ยูโทเปีย” นี้เอง ก็ทำให้อดคิดไม่ได้ครับว่าปู่ John กำลังวิพากษ์ถึงคำๆ นี้อยู่หรือเปล่า

ครับ โดยสรุปแล้วหนังอาจจะไม่้ได้สนุกอะไรมากมาย แต่หากใครติดตามหนังของ John Carpenter มานานๆ ก็อยากให้ลองดูเรื่องนี้กันครับ เพราะอย่างน้อยหนังก็ถ่ายทอดมุมมองความคิดของปู่ John ออกมาได้ไม่น้อย ถือเป็นงานปล่อยของตามสไตล์ของเขาน่ะ แต่ในแง่ความบันเทิงอาจจะไม่เยอะ

ในแง่รายได้ หนังลงทุนประมาณ $25 ล้าน และได้คืนมาราว $25 ล้าน ซึ่งอาจจะดูเหมือนเท่าทุนนะครับ แต่อย่าลืมว่ารายได้ที่ว่านี้ทางสตูดิโอต้องแบ่งกันกับโรงหนัง ทำให้เงินเหลือคืนมาจริงๆ จะราวๆ ครึ่งเดียว ดังนั้นหนังก็จัดว่าเข้าเนื้อล่ะครับ

และด้วยความที่หนังขาดทุนนี้เองเลยทำให้แผนที่จะทำหนังภาค 3 ของ สเน็ค พลิสเกนต้องเป็นหมันไป แต่กระนั้นปู่ John ก็หอบเอาบทร่างที่จะสร้างเป็นหนังภาค 3 เอาไปทำเป็น Ghosts of Mars แทน (บทที่แสดงโดน Ice Cube ในเรื่องนั้น แท้จริงจะต้องเป็นสเน็ค พลิสเกนครับ)

สองดาวยังพอได้ครับ

Star21

(6/10)