Inside Llewyn Davis เป็นหนังที่ผมอยากแปะฉลากไว้เลยครับว่าหากใครกำลังอยู่ในมู้ดเหงาๆ เฟลๆ ดาวน์ๆ ผมไม่แนะนำให้ดูครับ เพราะอาจส่งผลต่อฮอร์โมนในกายท่าน ทำให้รู้สึก เหงา เฟล ดาวน์ หนักกว่าเก่าก็เป็นได้
หนังถือว่าทำได้ถึงทีเดียว สำหรับเรื่องของชีวิตนักดนตรีโฟล์คซองนามว่า ลูวิน เดวิส (Oscar Isaac) กับช่วงชีวิตอันลุ่มๆ ดอนๆ ของเขา หรือถ้าจะใช้คำว่าชีวิตอันบัดซบก็อาจไม่ผิดครับ เพราะในหนังเราจะเห็นเขาพบเจอเรื่องร้าย เรื่องบั่นทอนพลังจิตและกำลังใจ – ซึ่งส่วนหนึ่งมันก็มีผลมาจากการกระทำที่ไม่น่ารักของเขาด้วย – แต่ก็เข้าข่าย “ชีวิตไม่สิ้น ก็ดิ้นกันไป” แม้จะเจอเรื่องแย่แค่ไหน ลูวินก็ยังพยายามก้าวเดินต่อ เพื่อหางานทำ หาเงินเลี้ยงชีพ และหาทางเดินไปให้ถึงฝันในฐานะนักร้องนักดนตรี
ตัวละครลูวิน เดวิสนั้น ได้แรงบันดาลใจมาจากชีวิตของ Dave Van Ronk นักร้องนักดนตรีโฟล์คซองแห่งยุค 60 ที่อาจไม่ใช่คนโด่งดังระดับแถวหน้า แต่ก็ถือเป็นนักเพลงนักสู้คนหนึ่งของวงการ จนเขาได้รับรางวัลเชิดชูเกียรติเมื่อถึงจุดหนึ่งของชีวิต
ผมนั้นชอบนักล่ะครับ หนังที่ว่าด้วยช่วงหนึ่งของชีวิตคน แล้วเรื่องนี้ก็เล่าได้อย่างยอดเยี่ยม โดยฝีมือของ 2 พี่น้อง Joel และ Ethan Coen หนังเล่าได้ถึงอารมณ์จริงๆ ยิ่งโทนในหนังเซ็ตเป็นสีหม่นๆ ฟ้าๆ แล้วฉากหลังยังเป็นหน้าหนาวอุดมด้วยหิมะอีก ความรู้สึกมันยิ่งดาวน์เข้าไปใหญ่ครับ ผมถึงบอกน่ะว่าถ้าใครกำลังอยู่ในห้วงอารมณ์ดาวน์แล้วไม่ควรดูเรื่องนี้ เพราะเดี๋ยวมันจะไปกันใหญ่
หนังสะท้อนชีวิตของศิลปินได้ดีครับ อันที่จริงมันก็สะท้อนไปถึงทุกกลุ่มอาชีพนั่นแหละ เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะประสบความสำเร็จได้เสมอไป โลกนี้มีทั้งคนที่ไปถึงฝัน และคนที่ไปไม่ถึง ไม่ว่าจะเพราะตนเอง เพราะโชคไม่เข้าข้าง เพราะจังหวะไม่อำนวย หรือสถานการณ์ไม่เป็นใจ ฯลฯ โลกนี้ไม่เคยขาดแคลนทั้งคนที่ประสบความสำเร็จและล้มเหลว
สิ่งหนึ่งที่หนังแสดงให้เห็นคือตัวลูวินเองก็เป็นส่วนหนึ่งของปัญหาครับ การพูดจาของเขา พฤติกรรมของเขา ทัศนคติต่างๆ มันออกไปในทางที่ทำให้ชีวิตติดลบ ไหนจะความไม่รับผิดชอบและหลอกตัวเองอีก แต่ละอย่างคือนิสัยเสียที่ลึกๆ แล้วเขาก็รู้ว่าตัวเองเป็นอยู่ แต่ก็ไม่ปรับปรุงแก้ไข จนชีวิตไปไม่ถึงไหน ซึ่งหนังก็เตือนสติคนดูให้ย้อนดูตรวจสอบตนเองว่าเราเป็นเช่นลูวินหรือไม่ หากเป็นแล้วควรทำเช่นไรต่อไป?
เหมือนฉากหนึ่งที่ลูวินนั่งในห้องน้ำแล้วเจอคำถามที่กำแพงว่า What are you doing? (คุณกำลังทำอะไรอยู่?) โดยคำว่า Doing ถูกขีดเน้นเส้นใต้แบบชัดเจน
และบางครั้งเส้นทางสู่ความสำเร็จก็ยังมีสิ่งจี้ใจอีก นั่นก็คือ หากเราอยากสำเร็จ เราอาจจำต้องไม่เป็นตัวของตัวเอง เพราะบางที “สิ่งที่เราเป็น” และ “สิ่งที่เรามี” มันก็ขายไม่ได้… นี่ก็เรื่องจริงอีกเหมือนกัน
แล้วเราจะเอายังไงต่อไป? นี่อาจเป็นคำถามที่หลายคนเคยถามตนเองมาแล้ว หรือกำลังถามอยู่สดๆ ร้อนๆ…
ผมชอบการเดินเรื่องครับ หนังเล่าไปเรื่อยๆ แต่ไม่น่าเบื่อ อาจเพราะชีวิตของนายลูวินมีอะไรให้เผชิญอยู่เยอะ เลยดึงดูดความสนใจเราให้อยากรู้ว่าฉากต่อไปเขาจะเจอกับอะไร ชีวิตจะดีขึ้นไหม หรือจะเจอปัญหาใหม่อะไรอีก แต่ละฉากแต่ละช่วงถือว่ามีผลต่อชีวิตของลูวินไม่มากก็น้อย แม้กระทั่งฉากขับรถเดินทางบนถนนสายเปลี่ยว หนังก็ยังสามารถสะท้อนอารมณ์ความรู้สึก หรือห้วงความคิดของลูวินออกมาได้ ไม่ว่าจะผ่านคำพูด แววตา หรือการกระทำ
แน่นอนว่าคนที่ควรได้รับคำชมอย่างยิ่งก็คือ Isaac นี่แหละครับ เขาแสดงได้ดี เป็นธรรมชาติ ถ่ายทอดบทลูวินให้ออกมาดูเป็นคนไม่หนักแน่น ไม่ค่อยรับผิดชอบ หรืออาจไม่ค่อยเอาอ่าวในบางวาระ แต่ขณะเดียวกันเขาก็สามารถทำให้คนดูอดไม่ได้ที่จะเห็นใจสงสารในสิ่งที่ลูวินเป็น รวมถึงสิ่งที่เขาต้องเจอ… สิ่งที่ Isaac ถ่ายทอดผ่านบทลูวินก็คือ คนที่เจ็บได้ พลาดเป็น และสับสน… เขาก็คือคนธรรมดาคนหนึ่งในโลกใบนี้…
คนที่เราอาจเป็นในบางครั้ง หรือกำลังเป็นอยู่ในยามนี้…
อาจเป็นเพราะแบบนั้น ตัวละครนี้ถึงจูนเข้ามายังใจของเราได้…
ดารารายอื่นถือว่ามาสมทบบ่มเรื่องราวให้กลมกล่อมมากขึ้นไปอีก ไม่ว่าจะ Carey Mulligan, Justin Timberlake, John Goodman, Garrett Hedlund, Ethan Phillips, Robin Bartlett, Adam Driver, Max Casella และ F. Murray Abraham ซึ่งบอกได้เลยว่าเยี่ยมทุกคน
นอกจากการเล่าเรื่องผ่านเหตุการณ์ ผ่านการแสดงแล้ว ก็ยังมีการเล่าผ่านเพลงครับ แต่ละเพลงที่เราได้ยินล้วนสะท้อนช่วงชีวิตของลูวินหรือคนรอบตัวเขา เพลงที่โดนใจผมมากหน่อยก็ยกขอให้ Five Hundred Miles เพลงที่เสมือนเป็นการสะท้อนชีวิตไปพร้อมๆ กับการแตะบ่าเบาๆ ปลอบประโลมใจ และอีกเพลงก็ Shoals of Herring ที่ลูวินร้องให้พ่อฟัง เพลงนี้เชื่อว่าใครที่ผ่านคลื่นลมอันหลากหลายในมหาสมุทรแห่งชีวิตมาแล้ว จะต้องรู้สึกอะไรบางอย่างอย่างแน่นอน – เอาเข้าจริงก็ชอบทุกเพลงครับ มันสะท้อนเรื่องราวได้ดีจริงๆ
สิ่งหนึ่งที่ผมได้จากหนัง ก็คงเป็นประเด็นเกี่ยวกับ “ความสำเร็จ” นั่นแหละครับ เอาเข้าจริงเราอาจไม่ต้องกระเหี้ยนกระหือรือไปถึงคำว่า “สำเร็จ” ก็ได้ครับ แค่เรียนรู้ที่จะเอาตัวรอด ทำตัวเองให้ดีกว่าเมื่อวานทีละนิดๆ ค่อยๆ ไป ไปช้าๆ ขยับตัวเท่าที่แรงกาย แรงใจ หรือแรงทรัพย์พอจะมี
ระหว่างคำว่า “ความสำเร็จ” และ “ล้มเหลว” มันยังมีที่ตรงกลางอีกตั้งบานเบอะ สิ่งที่เราพอจะทำได้คือพยายามเขยิบออกจากคำว่าล้มเหลวทีละนิด เดินเข้าไปแตะที่ตีนเขาแห่งความสำเร็จสักหน่อยก็ยังดี อย่างน้อยให้พอมีกินมีใช้ ให้ตั้งตัวได้ ให้ตั้งหลักเป็น แล้วจากนั้นเราจะค่อยๆ ขยับไต่เขาเข้าใกล้ความสำเร็จก็ได้ อาจไม่ต้องหวังถึงยอดเขาในวันพรุ่ง เอาแค่ให้ขยับขึ้นกว่าเก่าสักนิดก็ยังดี
ผมคงเอาหนังเรื่องนี้มาดูอีกเมื่อมีโอกาสครับ ดูแล้วมันเหมือนได้ปลดปล่อยอารมณ์บางอย่าง ตระหนักถึงความจริงว่าคนเรานั้น พลาดได้ ล้มได้ เซได้ ถ้ามันไม่ไหวก็พักสักหน่อย ถ้าอยากร้องไห้ก็ปล่อยน้ำตาออกมา ไม่จำเป็นต้องฝืน ไม่ต้องทำเป็นแข็งแรงให้มากมายในยามที่เราหมดแรงเจียนตาย – เราก็เป็นเพียงมนุษย์ครับ ไม่ได้สมบูรณ์แบบมาจากไหน
ตราบใดที่ยังมีวันพรุ่ง… ตราบใดที่ชีวิตยังไม่จบ… มันก็ยังไม่จบครับ
ถือเป็นหนังดีอีกเรื่องที่หากดูในโหมดอารมณ์ที่ถูก มันจะให้พลังใจกับคุณได้อย่างยอดยิ่งทีเดียว
สองดาวสามส่วนสี่ดวงครับ
(7.5/10)