I Still Believe – จะรักให้ร้องจะร้องให้รัก

I Still Believe – จะรักให้ร้อง จะร้องให้รัก
— 6/10 —
เรื่องราวความเชื่อ ความศรัทธาและความรัก
ที่มีความซึ้ง กินใจ แต่มีจุดใหญ่ๆ ที่เราไม่อิน

เป็นการได้กลับมาดูในหนังโรงครั้งแรกหลังจากนั่งแหงกอยู่บ้านกับสถานการณ์การระบาดของ Covid-19 เปิดกันด้วยเรื่องนี้เลย I Still Believe – จะรักให้ร้อง จะร้องให้รัก

I Still Believe เป็นหนังที่สร้างมาจากเรื่องจริงของนักร้องหนุ่ม Jeremy Camp กับเรื่องราวความรักของตัวเขากับ Melissa แต่โชคชะตาก็เล่นตลกในระหว่างที่ความรักกำลังไปได้สวย Melissa พบว่าเธอเป็นโรคร้ายที่อาจจะอยู่ได้อีกไม่นาน ทำให้เรื่องราวของทั้งคู่อยู่ด้วยความหวัง ความเชื่อ และความรักที่มีต่อกัน

สารภาพเลยว่าไม่รู้จัก Jeremy Camp ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเคยฟังเพลงของเขามาบ้างหรือเปล่า และก็ไม่รู้เลยว่าเรื่องราวความรักของชายคนนี้เป็นไงมาไง เอาเป็นว่าไม่รู้อะไรเลย แต่พอได้ดูตัวอย่างก็คิดในหัวแค่เพียงว่า ก็แค่เอาเรื่องราวความรักของนักร้องมาสร้างแค่นั้นแหละ 

พอได้เข้าไปดูปุ๊บ มันก็เป็นเรื่องราวความรักของ Jeremy Camp จริงๆ ที่บอกเล่าตั้งแต่เขาได้เจอกับสิ่งที่เรียกได้เลยแหละว่าน่าจะเป็นรักแท้ของ Jeremy Camp กับการเจอสาวสวยนามว่า Melissa ซึ่งตลอดครึ่งเรื่องของหนังเอาตรงๆ มันทำเราเอือมมาก 555+ หนังไม่ใส่ใจตัวละครแวดล้อมอะไรเท่าไหร่เลย โฟกัสแค่สองพระนางแบบเยอะมากๆ และสถานการณ์ต่างๆ หรือบทพูดมันน้ำเน่ามาก มากถึงมากที่สุด ซึ่งไม่รู้หรอกว่าเขาเสริมเติมแต่งไปมากแค่ไหน แต่มันน้ำเน่าจริงๆ คือครึ่งแรกมันคือหนังโรแมนติคโลกสวยเรื่องนึงนั่นแหละ

แต่เรื่องราวครึ่งหลังเปลี่ยนไปทันทีกลายเป็นหนังดราม่าเฉย เมื่อตัว Melissa ค้นพบว่าเป็นโรคร้ายที่สั่นคลอนความรักของเธอกับ Jeremy Camp ซึ่งราวกับหนังคนละม้วน ครึ่งหลังนี่เต็มไปด้วยดราม่า และเรื่องราวที่กินใจ ไม่รู้ว่าจริงเท็จแค่ไหนกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงๆ แต่ด้วยความที่มันถูกพูดมาว่ามันสร้างมาจากเรื่องจริง เลยทำให้เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในครึ่งหลังทำให้เราเชื่อส่วนนึงแล้วว่า เห้ยอย่างน้อยมันก็มีส่วนจริง มันเลยกลายเป็นว่าน่าทึ่งกับตัว Jeremy Camp กับการที่ยังเลือกที่จะตกลงปลงใจกับ Melissa ที่เป็นโรคร้ายอยู่ได้อีกไม่นาน เขาเลือกที่จะทำแบบนั้นด้วยคำว่าเชื่อตรงตามชื่อเรื่องเลย โมเมนท์เหล่านั้นก็กินใจในหลายๆ ฉาก และมันเต็มไปด้วยหลากหลายอารมณ์ ทั้งความน่ายินดี ปลาบปลื้ม 

แต่สิ่งที่เราไม่อินคือความพยายามยัดเยียดความเชื่อเรื่องราวของพระเจ้ามาหนักมากถึงมากที่สุด เข้าใจนะว่า Jeremy Camp เป็นคริสเตียนที่เชื่อเรื่องราวของพระเจ้า และเรื่องราวทั้งหมดเป็นประสงค์ของพระเจ้าอะไรทำนองนั้น แต่พอคนที่ไม่เชื่อมานั่งดูมันก็จะไม่อิน มันเลยกลายเป็นยัดเยียดเกินไปสำหรับเรา และหนังก็เน้นประเด็นเรื่องราวนี้บ่อยจริงๆ ซึ่งมันก็ตรงที่เขาต้องการจะสื่อตามชื่อเรื่อง I Still Believe ที่มาจากชื่อเพลงของ Jeremy Camp ที่แต่งให้ Melissa นั่นแหละ แต่หลายๆ อย่างมันไม่สมเหตุผลสมผล และเหมือนจะตอบคำถามเราเรื่องความเชื่อ ความศรัทธาไม่ได้จริงๆ 

หนังยังมีจุดบอด ความไม่ต่อเนื่อง และความไม่สมเหตุสมผลจนเกิดข้อสงสัยอยู่หลายจุดเหมือนกัน รวมถึงการแสดงของ 2 นักแสดงนำที่ไม่ได้ดูโดดเด่นจนน่าทึ่ง แต่ก็ไม่ได้แย่จนน่ากุมขมับ อยู่ในระดับธรรมดาๆ ที่ประคองหนังไปได้เรื่อยๆ มากกว่า

สิ่งที่ชอบที่สุดคงเป็นเพลงในเรื่องนี้นั่นแหละ ไม่รู้เหมือนกันว่า K.J. Apa เล่นกีตาร์เองจริงๆ หรือเปล่า (มีบางฉากไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่า เล่นไม่ตรงกับที่ได้ยินเลย) แต่เสียงร้องเขาเพราะไม่ใช่เล่น โดยเฉพาะตอนที่ร้อง Find Me In The River ร่วมกับ Britt Robertson เพราะจริงๆ เพราะมากเลยแหละ หลายเพลงเพราะมากจริงๆ กลับมาบ้านหาฟังเลยทีเดียว ทั้งที่ K.J. Apa ร้องและเพลงอื่นๆ ของ Jeremy Camp

สรุปแล้ว I Still Believe เป็นหนังที่ตรงจุดประสงค์ที่หนังจะสื่อ เพียงแต่ว่าเราไม่อิน และเอาจริงๆ มันไม่ใช่หนังที่อยากเล่าเรื่องของ Jeremy Camp หรอก มันเหมือนเป็นหนังที่สร้างขึ้นมาเพื่อบอกเล่าเรื่องราวของ Melissa ท้าทายศรัทธา ความเชื่อและความรัก

ปล. เอาจริงๆ ให้ความรู้สึกคล้ายโดนชักชวนให้ลองเข้าโบสถ์เหมือนกันนะ แบบเคยเจอมะคนมาชักชวนให้เข้าโบสถ์แล้วถามว่า “คุณเชื่อในเรื่องของพระเจ้าไหม”

– แอดยิ้มแย้ม