Hercules (Brett Ratner / USA / 2014) B+
เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมาก็มีหนังที่หยิบเอา เฮอร์คิวลิส มายำแล้วรอบหนึ่ง ซึ่งผลตอบรับไม่ได้ดีไปกว่าเป็นหนังประดับเรื่องหนึ่งคือเรื่อง The Legend of Hercules (Renny Harlin / 2014) ที่นำแสดงโดย Kellan Lutz นักแสดงหนุ่มล่ำที่คุ้นหน้าคุ้นตามาบ้างจากบท เอ็มเม็ต คัลเลน หนึ่งในสมาชิกครอบครัวแวมไพร์ Twilight ฝ่ายธรรมะ ตั้งแต่ภาคแรกถึงภาคสุดท้าย ซึ่งไม่ได้มีนักแสดงดังระดับซุป’ตาร์อย่าง Dwayne Johnson หรือที่รู้จักกันในนาม เดอะร็อก รวมถึงนักแสดงระดับชิงรางวัลออสการ์อย่าง John Hurt ในบท ลอร์ดโคติส จอมชั่วร้ายมาดึงดูดคนดู ตำนานเฮอร์คิวลิสเลยขายไม่ออกหนำซ้ำยังเป็นตัวช่วยดันให้ Hercules ลำดับที่สองของปีเรื่องนี้น่าสนใจมากขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเดอะร็อกจะการันตีอะไรได้ แต่ยังดีที่หนังไม่ได้น่าเบื่อหรือซ้ำซากเท่าที่เผื่อใจไว้ว่ามันอาจจะเห่ยมากกว่านี้
จริงๆเคยอ่านเรื่องราวภารกิจของเฮอร์คิวลิสจนจบแล้ว ซึ่งถ้าเอามาทำหนังให้ได้รายละเอียดทั้งหมดคงยากเพราะมันหลากหลายภารกิจเหลือเกิน แต่เมื่อถูกหยิบมาทำคนดูอย่างเราๆก็ต้องคาดหวังว่าจะได้เห็นการสร้างสรรค์ดัดแปลงที่แปลกใหม่เพื่ออย่างน้อยถ้าหนังไม่สนุกจุใจด้วยเทคนิกภาพพิเศษตระการตาอย่างหนังทุนสูงลิ่วหลายๆเรื่อง แต่ก็ขอให้รู้สึกคุ้มค่าตั๋วกับเรื่องราวที่มันน่าสนใจ ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วไม่ได้ผิดหวังในจุดนี้เสียทีเดียว
ถ้าจำไม่ผิดจากที่เคยอ่านในหนังสือก็ไม่เห็นว่าเฮอร์คิวลิสจะมีผู้ช่วยทีมเวิร์ค เพราะลุยเดี่ยวตลอดจนเกิดเป็นตำนานเล่าขานสืบต่อกันมา แต่ในหนังมีการเซ็ตอัพตัวละครเพิ่มขึ้นมาใหม่ซึ่งช่วยเพิ่มมุมมองมิตรภาพ ความรักความผูกพันธ์ความอ่อนไหวของเฮอร์คิสลิสเฉกเช่นมนุษย์ ซึ่งช่วยสร้างความดราม่าและความสนุกสนานได้สมเหตุผลและเข้าท่าทีเดียว
เห็นเลยว่าคนทำพยายามคิดเยอะในการซ่อนเรื่องราวปมหลังโน่นนั่นนี่แล้ว แต่พอเอาทุกอย่างมารวมกันอย่างละเล็กละน้อย มันกลับดูขาดๆ ทั้งที่มันมีมาครบอยู่แล้วแทบทุกก้าวกระบวนการเล่า คือถ้าเล่าขยายให้ถูกที่ที่มันควรขยายน่าจะทำให้เข้าถึงตัวละครได้มากกว่านี้และจะนำมาซึ่งการอยากติดตามสถานการณ์และเอาใจช่วยของคนดูมากขึ้น เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครพ่อลูกอย่าง ลอร์ดโคติส และ เออร์จีเนีย ซึ่งมีผลต่อความเป็นไปของเมืองเทรซ ในส่วนของมิติตัวละครค่อนข้างดีอยู่แล้วแต่ขาดการเล่าขยายให้คนดูเข้าถึงและรู้สึกตาม รวมถึงปมหลังครอบครัวเฮอร์คิวลิสที่อาจไม่ใช่แค่การเล่าด้วยแฟล็ชแบ็กหรือภาพหลอนภายในจิตใจที่กว่าจะปรากฏก็เข้าช่วงกลางเรื่องแล้ว มันทำให้แต่ละส่วนของหนังไม่ต่อเนื่องกันทางความรู้สึกเท่าที่จริงๆแล้วสามารถเป็นไปได้ นอกจากนั้นปมความลับที่ซ่อนไว้ก็น่าสนใจแต่เมื่อเฉลยด้วยการคลายปมภายในฉากเดียวจึงกลายเป็นการซ่อนที่ไม่ค่อยคุ้มค่ากับการติดตาม และยิ่งทำให้สัดส่วนการเล่าเรื่องฉึบฉับไปหน่อยจนขาดความรู้สึกคล้อยตาม อย่างเช่น ความลับในเหตุฆาตกกรรมครอบครัวของเฮอร์คิวลิส และความสัมพันธ์ระหว่างลอร์ดโคติสกับเออร์จีเนียที่ได้กล่าวมา
อีกอย่างคือสัดส่วนเรื่องและงานสร้างตั้งแต่ต้นจนปลายมันเท่าๆ กันไปหมด อาจเพราะความรู้สึกที่ว่าแรกๆหนังเปิดมามีสัตว์ประหลาดอสูรเยอะแยะตอนที่เล่าเปิดตำนานภารกิจเฮอร์คิวลิส แต่พอหลังจากนั้นมันมีไม่ได้มากไปกว่านี้เท่าไหร่ ส่วนของฉากแอคชั่นไคลแม็กซ์ก็ไม่ได้ข้นคลั่งขนาดนั่งไม่ติดที่ และความดีอยู่บ้างของส่วนดราม่าก็ไม่ได้ถูกใช้ให้ไปถึงไหนไกล แต่โดยรวมแล้ว Herculer เวอร์ชั่นนี้ก็มีความสนุกตื่นตาตื่นใจอยู่ไม่น้อย เพียงแต่ยังไม่ใช่หนังที่ดีขนาดที่ต้องกระเสือกกระสนไปดูให้ได้ ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วเป็นหนังที่ดูเพลินจนไม่อยากให้จบ เพราะรู้สึกมันน่าจะมีเรื่องราวต่อไปมากกว่านี้ แต่ก็ไม่เสียดายค่าตั๋วและเวลาที่แลกไป
ตอนตะโกนว่า ‘I am Hercules!!’ นี่เห่ยสุดแล้ว ฮ่าๆๆๆ
ตะบองมันเนี่ยดูเบาเหมือนโฟมไปหน่อย ยิ่งตัวละครอื่นมาถือยิ่งเบ๊าเบา..ถึงจะไม่ใช่ขนาดค้อนธอร์ก็เถอ