Gotham ปีแรกสุดสำหรับผมแล้วถือว่าดูดี แต่อาจจะดูเครียดและหนักจนไม่รู้สึกเพลินเท่าที่ควร อีกอย่างคือมันไม่ได้ให้อารมณ์ว่าเรากำลังดูเรื่องราวเกี่ยวกับโลกของแบทแมน แต่มันจะออกแนวซีรี่ส์เจ้าพ่อมากกว่า (ที่สำคัญคือผมว่าตัวเอกของปีน่าจะเป็นเพนกวินมากกว่าน่ะครับ เด่นกว่ากอร์ดอนซะอีก)
ครั้นพอมาปี 2 ก็เหมือนทีมงานจะรู้ในจุดนี้ครับ เลยตั้งลำใหม่ ปรับโทนให้มีความเป็นแฟนตาซีและได้อารมณ์คอมมิคมากขึ้น ดูแล้วรู้สึก “ต่อติด” กับความเป็นโลกของแบทแมน ผมเลยชอบปี 2 มากขึ้น จำได้ว่าติดและดูเพลินแบบยาวๆ เลยทีเดียว
สำหรับปี 3 นี่จริงๆ ก็ดูแบบยาวๆ เหมือนกันครับ และอารมณ์ของมันก็มาแนวเดียวกับภาค 2 เราจะได้เห็นสารพัดตัวร้ายในแบทแมนโผล่ออกมาสร้างความปั่นป่วนให้มหานครก็อตแธม แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกคล้ายๆ กับตอนดู The Flash ปี 3 น่ะครับ คือดูแล้วสนุก แต่ไม่รู้สึกสุดๆ เท่าปี 2
จริงๆ ปีนี้มาพร้อมสูตรเดียวกันครับ แต่ผมว่าปี 2 ตัวร้ายดูมีกึ๋นและน่าจดจำกว่า อย่างธีโอ กาลาแวน (James Frain) แล้วก็เจอโรม (Cameron Monaghan) ที่เป็นสีสันชั้นยอด แล้วไหนจะมีพวกมิสเตอร์ฟรีซ (Nathan Darrow), ฮิวโก้ สเตรนจ์ (BD Wong) มาเป็นสีสันด้วย
อีกอย่างคือการวางปมปี 2 มันมีอะไรชวนให้ติดตามเยอะครับ ทั้งปมใหญ่และปมย่อยของเหล่าตัวละคร ไม่ว่าจะเรื่องของเอ็ดเวิร์ด นิกม่า (Cory Michael Smith) หรือเพนกวิน (Robin Lord Taylor) เหมือนทีมงานมีปมให้เราเลือกติดหลายอันมาก ยิงปมใส่เข้ามาในซีรี่ส์ไว้เยอะ ประมาณว่าคนดูต้องติดใจสักปมล่ะน่า
ในขณะที่ปี 3 นี้แม้จะสูตรเดียวกัน แต่หลายอย่างยังไม่อร่อยเท่า เริ่มจากตัวร้ายก่อน คือสารภาพว่าผมออกจะรำคาญเจอร์วิส เทช (Benedict Samuel) หรือแมด แฮทเธอร์ ค่อนข้างมากครับ จริงๆ ก็เข้าใจคอนเซปต์ของปีนี้ที่ว่าด้วยความเป็น Mad City ตัวร้ายเลยจะออกแนวเสียสติบ้าคลั่งหลุดโลก ไม่ได้เป็นตัวร้ายมีสมองแบบปีก่อนๆ
ซึ่งเจอร์วิสก็คลั่งจริงครับ แต่ดูไปแล้ววมันรู้สึกเหมือนพี่แกเป็นแมลงวัน มาบินวนหวี่ๆ กวนประสาทอยู่นั่น ตอนแรกก็โอเค แต่พอนานๆ ก็เริ่มอยากให้พี่แกหมดบทบาทไปซะ และจริงๆ ชีวิตพี่แกไม่น่าจะอยู่ได้นานแบบที่เป็น เพราะอยู่ดีไม่ว่าดี ดันไปข้องแวะกับตระกูลฟัลโคเน่ และเป็นการข้องแวะแบบ “ต้องตายสถานเดียว” แต่ก็แปลกที่เจ้าพ่ออย่างคาร์ไมน์กลับปล่อยให้มันมีชีวิตอยู่ได้ (จริงๆ ก็เข้าใจล่ะครับ ก็เป็นแมด แฮทเธอร์นี่หน่า เป็นหนึ่งในตัวร้ายของพี่แบท เลยคงจะไม่ตายอยู่แล้ว แต่ก็รู้สึกว่าบทพลาดในจุดนี้ไป ถ้าอยากให้พี่แกอยู่ ก็น่าจะให้ทำอย่างอื่น ไม่น่าไปยุ่งกับตระกูลฟัลโคเน่)
ตัวร้ายของปีนี้แต่ละตัวสีสันน้อยลงครับ ยกเว้นคนที่ “กลับมา” ตอนกลางปี ที่บ้าคลั่งแบบมีสไตล์สมการรอคอย ช่วงตอนที่ 13 – 14 นี่ถือเป็นอะไรที่สนุกสุดของปีแล้วล่ะ แล้วพอครึ่งหลังกลุุ่มตัวร้ายก็จะเปลี่ยนไปอีกกลุ่ม (อันเป็นสูตรประจำของซีรี่ส์นี้ไปแล้ว ที่ครึ่งแรกกับครึ่งหลังของปีก็จะมีพล็อตหลักคนละพล็อตกัน)
ส่วนพล็อตของตัวร้ายประจำอย่างพวกเพนกวิน, เอ็ดเวิร์ด, บาร์บาร่า, บุช ฯลฯ จะไม่เหมือนปีก่อน ในขณะที่ปีก่อนเรื่องราวมันจะออกแนว “การเดินทางของชีวิต ที่เปลี่ยนให้พวกเขาเป็นตัวร้าย” ครั้นมาปีนี้พวกเขาเป็นตัวร้ายกันแน่นอนแล้ว และได้มาข้องแวะกันด้วย พล็อตหลักๆ ของพวกเขาก็กลายเป็นมาเน้นเรื่องการหักหลังกัน
ซึ่งจริงๆ ก็เป็นพล็อตที่โอเคครับ ตัวร้ายหักหลังกันไปมา เหมือนจะเป็นปมที่พลิกไปมาเพื่อตั้งใจให้เราอึ้ง แต่ประเด็นคือตอนแรกๆ ยังโอเค แต่พอหักหลังซ้ำไปมามากๆ เราก็เริ่มจับทางได้แล้วว่าเดี๋ยวมันก็ต้องหักอีก เพียงแค่จะเป็นว่าใครจะหักหลังใครก่อนเท่านั้นแหละ (เลยทำให้ตอนท้ายๆ ไม่ค่อยอึ้ง แต่ได้อารมณ์ประมาณ “ตูว่าแล้ว ว่าเอ็งต้องหักหลัง”)
แต่จริงๆ ก็เข้าใจน่ะครับ มันมีเหตุผลของมัน ไม่ว่าจะการทำให้เมืองโกลาหลเป็น Mad City หรือความบ้าคลั่งที่เกิดในทุกหย่อมหญ้า และทุกตัวคน มันคือสิ่งที่ผลักดันให้เรื่องราวไปสู่บทสรุปของปี ซึ่งแนวคิดโอเคครับ หลายอย่างทำให้คิดถึง Batman Begins เลย เพียงแต่การเล่าเรื่องมันอาจจะยังไม่เด็ดพอ ไม่ลืิ่นแบบปีก่อนที่แม้จะมีจุดโหว่แต่ก็พอรับได้ แต่ปีนี้พอการเดินเรื่องลื่นบ้าง-ไม่ลื่นบ้าง เลยทำให้พอมีจุดโหว่ก็จะเห็นชัด
โดยรวมปีนี้ก็ยังสนุกครับ ถ้ามองข้ามอะไรๆ ได้ก็น่าจะสนุกมากขึ้น สำหรับผม ผมยังเห็นใจเพนกวินอยู่ และตัวละครที่ผมชอบสุดก็คือ ฮาร์วี่ย์ บูลล็อก (Donal Logue) ที่ขอจำกัดความเลยว่า “เป็นตัวละครที่ดูน่าคบหาที่สุดในก็อตแธมแล้ว” และจริงๆ ผมออกจะจับตาการมาของพอยซั่นไอวี่ที่แสดงโดย Maggie Geha ที่ตอนแรกเหมือนจะมีบทบาท แต่ไปๆ มาๆ ก็ออกแนวสมทบแทน (และได้ข่าวว่าปีหน้าก็จะเปลี่ยนตัวแสดงอีกด้วย)
รอดูปี 4 กันต่อแล้วครับ
สองดาวครึ่งครับ
(7/10)