Glass Onion: A Knives Out Mystery (2022) ฆาตกรรมหรรษา ใครฆ่าเพื่อน

Untitled08857

หลังดู Glass Onion จบ ผมก็ใช้เวลาอยู่หลายชั่วโมงในการถามตัวเองว่าตกลงรู้สึกยังไงกับหนัง?

หนังมาในแนวสืบสวนผสมอารมณ์ขันตามรอยความสำเร็จจากภาคแรก ตัวเอกคือเบนัวต์ บลองค์ (Daniel Craig) ที่จู่ๆ ก็ได้รับคำเชิญให้มาร่วมงานเลี้ยงพิเศษที่จัดขึ้นโดย ไมลส์ บรอน (Edward Norton) นักธุรกิจผู้ประสบความสำเร็จอย่างมหาศาล และคนอื่นๆ ที่ได้รับเชิญมาก็คือหมู่เพื่อนพ้องกลุ่มตัวป่วนของเขานั่นเอง

ตอนแรกไมลส์หมายมั่นจะให้ทุกคนมาร่วมเล่นเกมไขคดีฆาตกรรมปริศนาที่เขาคิดขึ้นครับ แต่ไปๆ มาๆ ดันมีคนตายเข้าจริงๆ นักสืบบลองค์ก็เลยต้องออกโรงตามล่าหาความจริง กระชากหน้ากากฆาตกรออกมาให้จงได้

จริงๆ มันก็ดูได้เพลินๆ นะครับ สนุกดีนั่นแหละ เพียงแต่แอบรู้สึกว่าภาคแรกมีความแน่นกว่าไม่ว่าในเรื่องบทหรือดาราที่แม้ภาคนี้ตัวละครจะน้อยลง แต่ผมกลับรู้สึกว่าภาคแรกตัวละครแต่ละตัวมีโมเมนต์ของตัวเองมากกว่า ชวนให้จดจำมากกว่าแม้จะขนมากันเป็นโหลก็ตาม

ส่วนในแง่การเล่าเรื่องนั้น รู้สึกได้ว่าผู้กำกับ Rian Johnson (ที่ควบเก้าอี้เขียนบทด้วย) พยายามทำให้เรื่องมีลีลาลูกเล่นสวิงสวายขึ้น ส่วนหนึ่งก็น่าจะเพื่อไม่ให้ย่ำรอยเดิม – ภาคแรกหนักเครื่องเรื่องบทและดารา แต่ไม่เน้นลีลาท่ายาก ส่วนภาคนี้มีการใส่ลีลาลูกเล่นเข้าไปมากหน่อย ให้มันดูมีสีสันมากขึ้น

Johnson เป็นแฟนตัวกลั่นของหนังแนว Whodunit ครับ และหนังภาคนี้ก็ได้รับอิทธิพลส่วนหนึ่งมาจาก The Last of Sheila หนังสืบสวนไขปมเมื่อปี 1973 ที่ได้รับการนิยามว่าเป็นหนึ่งในหนังสืบสวนชั้นดีที่ไม่ดูถูกสติปัญญาคนดู (ประมาณว่าเปิดโอกาสให้คนดูได้ใช้สมองไตร่ตรองตามน่ะครับ) ก็ถือว่าทำออกมาคารวะหนังเรื่องที่ว่าได้อย่างน่าพอใจครับ (และยังมีการให้ Stephen Sondheim คนเขียนบทหนังเรื่องนั้นมาแสดงรับเชิญด้วยครับ เป็นหนึ่งในคนที่คุยผ่านซูมกับบลองค์เมื่อตอนต้นเรื่องนั่นแหละ – และจริงๆ คนเขียนบทเรื่องดังกล่าวยังมี Anthony Perkins เจ้าของบท นอร์แมน เบตส์ แห่ง Psycho เขียนด้วยอีกคน แต่เขาล่วงลับไปตั้งแต่ปี 1992 ครับ ไม่เช่นนั้นผมมั่นใจว่า Johnson แกเชิญมาร่วมจอด้วยแน่นอน)

Untitled08858

และอาจเพราะดูหนังของ Johnson มานาน เลยจับทางพี่แกได้ พี่เขาเป็นคนชอบเล่นกับรายละเอียดครับ ดังนั้นใครที่ดูหนังแล้วช่างสังเกตโน่นนี่สักหน่อยก็จะสนุกขึ้น ไม่ว่าจะสังเกตในแง่สืบสวนตามปม หรือสังเกตสิ่งที่พี่แกชอบเอามาย้ำ สิ่งที่มักถูกเน้นซ้ำๆ ในฉากต่างๆ อะไรเหล่านี้ถ้าเข้าทางท่าน ท่านก็น่าจะเพลินกับหนังมากขึ้นครับ

Craig ยังไปได้ดีในบทบลองค์ครับ ถือเป็นตัวยืนหลักของเรื่องที่มีส่วนช่วยให้หนังน่าติดตามไปเรื่อยๆ – ผมชอบมากตอนแกออกแนวบ่นเรื่องโน้นเรื่องนี้ โดยเฉพาะตอนพี่แกวีนกึ่งว้ากใส่ฆาตกร มันทำให้บลองค์ดูมีมิติจับต้องได้มากขึ้น

อีกคนที่ผมว่าเจ๋งไม่น้อยก็คือ Janelle Monáe บทของเธอจัดว่าน่าสนใจ มีความซับซ้อนมากพอตัว อีกรายก็ Edward Norton ที่ผมรู้สึกว่าตัวเองห่างหายจากการดูเขาแสดงไปหลายปีอยู่ มาหนนี้ก็ยังลีลาดีเหมือนเดิม และอดคิดไม่ได้ว่าบทแบบนี้ก็ต้องให้พี่เขานี่แหละมาเล่น

และอีกรายที่ลืมไม่ได้คือ Noah Segan ที่โผล่เล่นหนังของ Johnson ทุกเรื่อง มาเรื่องนี้พี่แกคือคนที่โผล่มาที่เกาะแบบไม่ได้รับเชิญ แล้วก็โผล่ที่นั้่นที่นี่ไปทั่วน่ะครับ

ใครที่ชอบความหนักเครื่องแบบภาคแรกอาจต้องเผื่อใจไว้นิดนึงครับ ภาคนี้เครื่องอาจไม่แน่นเท่าเก่า หนังจะเน้นอารมณ์ขันมากขึ้น และการเล่าก็วาดลวดลายมากขึ้น แต่ก็ถือเป็นภาคต่อที่น่าพอใจ ดูเอาบันเทิงได้ ดูเอาแง่คิดเนื้อหาสาระก็ยังมีเสิร์ฟให้เราเก็บกลับไปคิดอยู่

จะว่าไปผมรู้สึกชอบในหลายประเด็นที่ Johnson แกใส่ลงมาครับ – แน่นอนว่าผมกำลังจะสปอยล์ล่ะนะครับ ไม่อยากทราบไม่ควรอ่านต่อ สรุปคร่าวๆ ตรงนี้แล้วกันว่าถ้าชอบภาคแรกก็ตามมาดูภาคนี้ต่อกันได้ครับ ขอเพียงปรับระดับความคาดหวังสักหน่อย เปิดใจสักนิดก็น่าจะสนุกกับหนังได้แบบไม่ยากเย็น

Untitled08859

====== สปอยล์ครับ ======

ผมชอบประเด็นในหนังนะครับ Johnson แกสะท้อนประเด็นชวนให้คิดอยู่หลายอัน อย่างคาแรคเตอร์ของตัวละครก็สะท้อนตัวตนของคนประเภทนั้นๆ เช่น คนเป็นนักการเมืองก็จะคิดถึงชื่อเสียงหน้าตัวเองก่อนอื่น ชนิดที่ต่อให้มีคนตายตรงหน้า ในหัวจะคิดถึงวิธีปกปิดแก้ชื่อของตัวเอง ก่อนตามหาฆาตกรซะอีก

หรือคนเป็นดาราเซเลบที่เน้นปาร์ตี้สนุกสนานแบบลืมโลก และจะไม่ใส่ใจรายละเอียดจนบางทีก็ทำอะไรพลั้งพลาดไป ทั้งๆ ที่ความจริงอยู่ตรงหน้าก็ยังพลาดได้แบบน่าเจ็บใจ – อะไรเหล่านี้จิกกัดคาแรคเตอร์สูตรสำเร็จเหล่านี้ได้แบบเห็นภาพ

====================

อันต่อมาที่ชอบคือการสะท้อนความจริงที่ว่า คนบางคนที่ประสบความสำเร็จนั้น อาจไม่ใช่เพราะเขาฉลาดกว่าคนอื่น แต่เพราะเขาเก่งในเรื่องการบริหารโอกาสที่ผ่านเข้ามา ถนัดในการสร้างคอนเนคชั่นและแบ่งสรรผลปันประโยชน์ให้คนรอบตัว

คนฉลาดที่สุดอาจไม่ลงเอยด้วยความสำเร็จ และคนประสบความสำเร็จอาจไม่ใช่อัจฉริยะผู้ฉลาดล้ำ – โลกก็แบบนี้ล่ะ

====================

สิ่งหนึ่งที่รู้สึกเสมอเวลาดูหนังของ Johnson คือ พี่เขาเน้นประเด็น “พลังแห่งคนธรรมดา” อยู่บ่อยๆ

ใน Looper เราได้เห็นแม่ธรรมดาๆ คนหนึ่ง ทำทุกอย่างเพื่อปกป้องลูกจากนักฆ่าที่มาพร้อมอาวุธ และเมื่อถึงจุดหนึ่ง คนธรรมดาเช่นเธอ พยายามที่จะเปลี่ยนชะตาของลูกด้วยตัวของเธอเอง

ใน Star Wars: The Last Jedi เราได้เห็นเด็กธรรมดาๆ ที่มีแค่ไม้กวาดเป็นของประจำตำแหน่งของตัวเอง มี “พลัง” ในครอบครอง และได้เห็นคนที่ไม่สวย ไม่เฉี่ยว ไม่เท่ห์ อย่างโรส มีบทบาทในการพลิกชะตาของสงครามจักรวาลได้

หรือใน Knives Out ภาคแรก ตัวหลักอย่างมาร์ธา ก็เป็นผู้หญิงธรรมดา ไม่ได้เจ้าเล่ห์อย่างใคร ขนาดโกหกยังแทบทำไม่ได้ (เพราะเธอจะอาเจียนทุกครั้งที่โกหก) แต่สุดท้ายคนธรรมดาๆ (ที่เป็นคนดี) อย่างเธอก็ได้ครอบครองทุกอย่างในบ้านทรอมบี ท่ามกลางการแก่งแย่งชิงดีของคนที่ได้ชื่อว่าเป็น “นาย” ของเธอ

และหนังเรื่องนี้ย้ำประเด็นนั้นอีกครับ เมื่อเรื่องดำเนินถึงจุดท้ายสุด เราได้รู้ว่าไมลส์คือฆาตกรตัวจริง และเขาคือผู้มีอำนาจ มีทั้งคอนเนคชั่นและเงินทอง เขาคิดว่าตัวเองจะทำอะไรก็ได้ และทุกคนจะต้องเข้าข้างเขา – เขาหมายปิดฟ้าด้วยฝ่ามือ

Untitled08860

แต่แล้วเราจะได้เห็นผู้หญิงธรรมดาๆ อย่างเฮเลนลุกขึ้นต่อกรกับเขา จริงอยู่ที่เวลานั้นเธอไม่อาจทำอะไรเขาได้ อำนาจเธอก็ไม่มี เงินทองรึก็สู้เขาไม่ได้ ยิ่งพวกพ้องนี่ไม่มีเลย ใครต่อใครในเวลานั้นพากันเพิกเฉยต่อคำพูดของเธอ

แล้วคนธรรมดาอย่างเธอ ก็เลือกที่จะตอกกลับด้วยสองมือ เธอยกเครื่องแก้วสะสมของไมลส์ขึ้นมา แล้วทุ่มมันทิ้งลงกับพื้นจนแตกกระจาย

แน่นอนว่าไมลส์ก็ไม่รู้สึกยี่หระอะไร เพราะมันเป็นเรื่องเล็กๆ ในสายตาเขา

แต่แล้วเธอก็ลงมือเขวี้ยงของอีกชิ้น อีกชิ้น อีกชิ้น อีกชิ้น อีกชิ้น อีกชิ้น… เธอทำมันต่อเนื่องไปเรื่อยๆ

แม้การกระทำแต่ละครั้งของเธอจะเป็นเพียงการกระทำเล็กๆ ในสายตาไมลส์ แต่เมื่อเฮเลนทำมันอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดไมลส์ก็เริ่มรู้สึกว่าอำนาจของเขากำลังสั่นคลอน

และระหว่างที่เฮเลนทำลายข้าวของของไมลส์ มันก็เกิดผลข้างเคียง จนมันปลุกเร้าให้คนที่เคยอยู่ใต้อำนาจของไมลส์ เริ่มที่จะหันมาเอาบ้าง กล้าที่จะลุกขึ้นต่อต้านไมลส์

การทำลายไมลส์ทีละส่วนทีละเสี้ยวของเฮเลน ในที่สุดก็ส่งผลสะเทือนถึงฐานอำนาจของไมลส์ ในที่สุดไมลส์ก็ถึงจุดหมดอานาจ ในที่สุดอำนาจของไมลส์ก็กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการทำลายชีวิตของเขาเอง

คนธรรมดาอย่างเฮเลน ทำให้ไมลส์สูญเสียได้ มากกว่าที่ใครจะคาดคิด

เรื่องนี้ให้แง่คิดใน 2 มุม มุมแรก กระซิบกับคนตัวเล็กๆ ทั้งหลายว่าจงอย่าดูถูกพลังตนเอง – หยดน้ำเล็กๆ หยดลงหิน ก็ยังทำให้หินที่ว่าแกร่ง ผุกร่อนได้ – นั่นคือความจริง นั่นคือสิ่งธรรมดาของธรรมชาติ

และอีกมุมคิด สำหรับคนรวย มันตะโกนบอกว่า คนมีอำนาจเอ๋ย มันไม่ฉลาดเลย หากจะประมาทพลังของคนธรรมดา – โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าสิ่งที่ท่านกำลังทำ ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง

====================

โดยรวมแล้วผมโอเคกับหนังครับ อาจไม่เด็ดแบบสุดๆ แต่ก็ถือเป็นแนวหนังสืบสวนหรรษาที่เข้าท่า สักวันในภายหน้าผมก็คงเอามาดูซ้ำอีก อย่างน้อยก็ตอนที่ภาค 3 ออกฉาย

สองดาวครึ่งครับ

Star22

(7/10)