ตามดูกันต่อครับ สำหรับหนังแห่งจักรวาลโลกเวทมนตร์ นี่ก็ถึงภาค 3 แล้ว มาได้ครึ่งทาง (จากที่วางแผนไว้ว่าจะทำ 5 ภาค) และนี่คือความรู้สึกที่ผมมีต่อ Fantastic Beasts: The Secrets of Dumbledore ครับ
อย่างแรกเลยคือ ผมยังติดภาพ Johnny Depp ในคราบกรินเดลวัลด์อยู่ครับ อันนี้ยอมรับเลยว่าส่งผลต่อการดูเหมือนกัน เพราะรอมานานที่ Depp (กรินเดลวัลด์) จะได้มาเจอกับ Jude Law (ดัมเบิลดอร์) ครั้นพอถึงวันนั้นจริงๆ เฮีย Depp กลับไม่ได้ไปต่อ ใจก็เสียดายไม่น้อยครับ
กรินเดลวัลด์ที่ Depp แสดงไว้มันแกรนด์ด้วยล่ะครับ ถือเป็นไฮไลต์สำหรับภาคที่แล้วเลย ทั้งลีลาท่าทาง มาดอวดดื้อถือดี เย่อหยิ่งจองหอง มาพร้อมแววตาที่มองเหมือนโลกทั้งใบกองอยู่แทบเท้า Depp สามารถเนรมิตกรินเดลวัลด์เอาไว้ได้ดีจริงๆ
มาถึงภาคนี้ได้ Mads Mikkelsen มาสวมบทแทน ซึ่งจริงๆ เขาก็ยังแสดงได้ดีในแบบของเขาน่ะครับ มาดดูนิ่งเนิ่บ เป็นกรินเดลวัลด์สายกลางที่ไม่โผงผางจัดจ้าน ในแง่หนึ่งการเล่นแบบนี้มันก็ Playsafe อยู่ครับ แต่ใจผมก็อดไม่ได้ที่จะคอยนึกว่า ถ้า Depp มาฉากนี้อารมณ์มันจะประมาณไหน ถ้า Depp มาโผล่ตรงนี้ความเย่อหยิ่งจองหองของกรินเดลวัลด์มันจะแกรนด์เพียงไร – จุดนี้ยอมรับครับว่าเป็นปัญหาสำหรับผมเหมือนกัน – Depp แกเล่นไว้ดีเกิน
ส่วนตัวหนังถือว่าเข้าท่าขึ้นกว่าภาค 2 ครับ แต่ก็ยังไม่โอเคเท่าภาคแรก มาว่ากันถึงส่วนที่ทำให้ผมสนุกไปกับหนังก่อน อันนี้ยกให้การแสดงดีๆ ของตัวละครทั้งหลาย Law อยู่ตัวแล้วกับบทดัมเบิลดอร์, Eddie Redmayne ก็ยังไปได้สวยกับบทนิวท์
แต่รายที่ถือว่าขโมยซีนแบบสม่ำเสมอคือ Dan Fogler ในบทเจค็อบครับ เป็นตัวละครที่ผมชอบมาตั้งแต่ภาคแรก มาภาคนี้ก็ยังเด่น เนื้อเรื่องส่วนของเขานี่ถือเป็นจุดที่ผมชอบเลยครับ ไม่ว่าจะความเบ๊อะบ๊ะแบบน่ารักๆ หรือความรักที่เขามีต่อควีนนี่ (Alison Sudol) หรือกระทั่งร้านขนมเล็กๆ ของเขานี่ก็ยังทำให้ผมยิ้มได้เสมอ – ยอมรับเลยครับว่าดูหนังเรื่องนี้เพลินก็เพราะนายเจค็อบนี่แหละ
อีกคนที่ขโมยซีนได้ไม่แพ้กันคือ ฮิคส์ ที่ Jessica Williams วาดลวดลายไว้ได้อย่างน่าจดจำ แล้วเธอก็มักจะมาประกบกับเจค็อบด้วยครับ ดังนั้นเวลา 2 คนมาด้วยกันนี่ความน่าดูมันจะสูงขึ้นทันที
ที่ออกจะแปลกใจหน่อยคือ Ezra Miller ที่บทน้อยลงกว่าที่คิด แล้วตอนนี้ก็ยังไม่แน่ใจในชะตากรรมของตัวละครนี้อีกด้วยเพราะตัว Miller เองก็ดันมีปัญหาในชีวิตจริง ก็คงต้องติดตามต่อไปล่ะครับว่าบทนี้จะไปทางไหนต่อ
ครับ ดาราถือว่ามีพลังพอตัว และอีกสิ่งที่จัดว่าเด่นในความรู้สึกผมก็คือดนตรีครับ สัมผัสได้เลยว่า James Newton Howard แกตั้งใจปล่อยของในภาคนี้ ท่วงทำนองน่าจดจำ ได้อารมณ์แบบพอเหมาะ ไม่ว่าจะท่วงทำนองโลกเวทมนตร์ หรือบางช่วงก็มาพร้อม Jazz สวยๆ เป็นอะไรที่พริ้วกำลังเหมาะครับ และอีกช่วงที่ชอบคือดนตรีตอนจบครับ ภาพฉากสุดท้ายกับดนตรีเป็นอะไรที่เข้ากันจริงๆ ได้อารมณ์มาก
อีกจุดที่ผมชอบมากขึ้นคือฉากครับ อันนี้เป็นความรู้สึกที่สะสมมาตั้งแต่ภาคแรก คือผมรู้สึกว่าฉากในเมืองต่างๆ มันดูโล่ง ดูสะอาด ดูเป็นฉากมากกว่าจะเป็นเมืองจริงๆ แต่ภาคนี้ทำตรงนี้ได้ดีขึ้นครับ เมืองดูมีความเป็นเมือง ดูมีคราบตามถนน ดูเป็นเมืองที่มีคนอยู่อาศัยเดินขวักไขว่ มีความเก่าความโทรมตามอัตภาพ รู้สึกสมกับเป็นเมืองมากขึ้น (จุดนี้อาจถือเป็นความเรื่องมากเฉพาะตัวน่ะนะครับ 555) และฉากตอนท้ายไคลแม็กซ์ก็ดูอลังการดี
นั่นล่ะครับจุดที่ผมชอบ… หากสังเกตจะพบว่าจุดที่ผมชอบนี่ออกจะเป็นองค์ประกอบรอบข้างมากกว่าจะเป็นตัวหนังน่ะนะครับ ซึ่งหากว่าตามใจคิดแล้ว บทหนัง ตัวหนังถือว่าโอเคขึ้นกว่าภาค 2 ครับ แต่กระนั้นก็ยังไม่ถึงกับกลมกล่อมแบบเต็มๆ
สิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกต่อหนังชุดนี้ก็คือมันเหมือนยังไม่มีจุดโฟกัสที่ชัดเจนน่ะครับ อย่าง Harry Potter ก็โอเคว่าเรามีแฮร์รี่เป็นหมุดหลัก แล้วเรื่องราวก็ดำเนินไปโดยมีแฮร์รี่เป็นศูนย์กลาง ในขณะที่ Fantastic Beasts นี่ โอเคครับ เรารับรู้ว่าตัวละครหลักคือนิวท์ สคามันเดอร์ ภาคแรกยังพอไหว เพราะเขาถือเป็นศูนย์กลาง พาเราไปรู้จักกับโลกสัตว์วิเศษและโลกเวทมนตร์ในอเมริกา
แต่พอมาภาค 2 และรวมมาถึงภาค 3 นี่ มันไม่รู้สึกน่ะครับว่านิวท์เป็นศูนย์กลาง หรือเรื่องเกี่ยวกับสัตว์มหัศจรรย์ต่างๆ ก็ออกแนวเป็นองค์ประกอบเสริมมากกว่าจะเป็นประเด็นหลักให้เราโฟกัส – พูดตรงๆ คือบางครั้งมันอดรู้สึกไม่ได้น่ะครับ ว่าสัตว์มหัศจรรย์ถูกใส่เข้ามาเพื่อให้หนังได้ชื่อว่าเป็น Fantastic Beasts เท่านั้นเอง
อีกอย่างที่รู้สึกก็คือ ถ้าว่ากันจริงๆ แล้วจุดหลักของหนังตั้งแต่ภาค 2 – 3 มานี่มันคือเรื่องระหว่างดัมเบิลดอร์กับกรินเดลวัลด์น่ะครับ แต่เหมือนหนังจะออกแนวกั๊กๆ คือจะไปเน้น 2 คนนี้มากก็ไม่ได้ เพราะเดี๋ยวมันจะไม่ใช่ Fantastic Beasts แต่ขณะเดียวกันเนื้อเรื่องส่วน Fantastic Beasts มันก็ไม่ค่อยจะ Fantastic สักเท่าไร นิวท์ก็ไม่ค่อยได้ใช้ความเชี่ยวชาญด้านสัตว์มหัศจรรย์เท่าที่ควร (ถ้าว่ากันถึงประเด็นนี้ มีเพียงภาคแรกครับที่สอบผ่าน เพราะนิวท์ได้โชว์ความสามารถหลากหลาย และยังเป็นคนกระชากหน้ากากกรินเดลวัลด์อีกด้วย)
ผลที่หนังได้ออกมาในภาค 2 และ 3 นี่เลยออกแนว “ถ้าไม่ซ้ายดึงขวา ก็ขวาดึงซ้าย” ประมาณนั้นน่ะครับ กลายเป็นไม่สุดสักทาง
และบางฉากผมก็รู้สึกนะว่าใส่เข้ามาเหมือนเพื่อยืดเวลาหรือไม่ก็เพื่อให้นิวท์ได้ใช้ความรู้สึกด้านสัตว์วิเศษบ้าง เช่นตอนนิวท์ต้องไปช่วยพี่ชายแล้วเดินผ่านพวกแมงป่องน่ะครับ ใส่เข้ามาให้มีกลิ่นความเป็น Fantastic Beasts ประมาณนั้น
กระนั้นภาคนี้ก็ถือว่าดูได้เรื่อยๆ น่ะครับ อย่างที่บอกว่าดาราช่วยไว้ได้ ตัวละครอย่างดัมเบิลดอร์, เจค็อบ และฮิคส์คือตัวหลักๆ ที่ดึงให้หนังน่าสนใจ ดนตรีดีได้ระดับ งาน CG ต่างๆ ก็ถือว่าน่าพอใจ พอสมส่วนสำหรับการดึงเราแวะเวียนไปยังโลกเวทมนตร์
ส่วนเนื้อเรื่องก็ถือว่ากลางๆ น่ะครับ หนังพยายามผสมหลายอย่างลงไป มีเรื่องการเมืองด้วย เรื่องการแบ่งแยกระหว่างพ่อมดกับมักเกิ้ล ซึ่งอะไรเหล่านี้ก็ยังไม่ค่อยเด่นหรือกลมกล่อมสักเท่าไร ยังดีที่ส่วนของการผจญภัยต่างๆ ยังพอสนุก
และเสน่ห์หนึ่งที่ผมว่าพร่องไปในหนังภาค 2 – 3 คือการหักเหหักมุมน่ะครับ ผมว่าอันนี้เป็นจุดสนุกอย่างหนึ่งของทั้ง Harry Potter หรือ Fantastic Beasts ภาคแรกนะ ที่มันจะมีปมอะไรบางอย่างที่พาเราไปทิศทางหนึ่ง แต่แล้วก็จะมีการหักเหหักมุม เฉลยเรื่องที่เราคาดไม่ถึงบางอย่างให้เรารับรู้ อะไรแบบนี้ก็รู้สึกว่าพร่องไปเหมือนกัน
ภาคนี้ได้ J.K. Rowling เขียนบทและ Steve Kloves กลับมาร่วมเกลาบทด้วย ก็อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้อะไรๆ เข้าที่ขึ้น ผู้กำกับยังคงเป็น David Yates ซึ่งผมว่าผลที่ออกมาของงานเขาก็ขึ้นอยู่กับบทด้วยน่ะครับ ถ้าบทเวิร์ก Yates ก็จะทำออกมาเวิร์ก ถ้าบทเรื่อยๆ เขาก็จะทำออกมาแบบเรื่อยๆ ยอมรับว่าดูหนังเขามาหลายเรื่องยังไม่เห็นลายเซ็นต์หรือลีลาที่ชัดเจนสักเท่าไร แต่ที่ชัดคืองานของเขาจะออกมาดีหรือไม่ ส่วนสำคัญอยู่ที่บทนี่แหละ
โดยรวมแล้วก็ถือว่าดูได้เรื่อยๆ ครับ น่าพอใจในระดับหนึ่ง รู้สึกดีขึ้นกว่าภาคที่แล้ว – ลึกๆ ยังคงคิดอยู่ว่าถ้า Depp ยังเป็นกรินเดลวัลด์อยู่ความสนุกน่าจะมากขึ้น แต่ก็ต้องทำใจยอมรับน่ะนะครับ – แอบคิดในใจว่าอยากให้พี่กรินเดลวัลด์ Mikkelsen ดึงความทรงจำของผมส่วนที่เป็นการแสดงของ Depp ในภาคที่แล้วๆ ออกไปจากหัวบ้างจัง น่าจะช่วยได้ 555
ก็ยังพร้อมติดตามหนังชุดนี้ต่อไปครับ ภาคหน้าว่ากันใหม่
สองดาวกว่าๆ ครับ
(6.5/10)
==================
+++สปอยล์นิด ตามใจคิด+++
==================
ภาคนี้ ส้ตว์มหัศจรรย์ตัวสำคัญคือกิเลนครับ ซึ่งจริงๆ ถ้าหนังกำหนดให้นิวท์ได้ใช้ความรู้เรื่องสัตว์มหัศจรรย์วิทยาในการแก้เกมสู้กับกรินเดลวัลด์ก็คงมันส์ ประมาณว่ากิเลนตัวน้อยโดนกรินเดลวัลด์จับไปลงอาคม ถ้าหนังเปิดโอกาสให้นิวท์แก้เกม เช่น นิวท์รู้วิธีแก้อาคม เช่น นิวท์ได้เก็บจิตวิญญาณของแม่กิเลนไว้ แล้วเอามาช่วยลูกในตอนท้าย หรือให้นิวท์จับผิดว่ากิเลนตัวนี้มีลักษณะอย่างไรถึงเรียกว่าโดนอาคม คอยต้อนฝ่ายตรงข้ามให้จนมุม แบบนี้นิวท์ก็จะดูเป็นพระเอกและเด่นขึ้นมา
แต่นี่กลายเป็นว่า ถ้าไม่เผอิญว่ากิเลนมีลูกแฝด และถ้าไม่ใช่เพราะดัมเบิลดอร์วางแผน แผนก็คงพัง ซึ่งมันจะต่างจากสมัย Harry Potter น่ะครับ จริงที่หลายครั้งแฮร์รี่ก็รอดมาได้เพราะความช่วยเหลือบางอย่างจากดัมเบิลดอร์ แต่กระนั้นตัวแฮร์รี่เองก็ต้องใช้ความเก่งและกล้าของตัวเองร่วมด้วย มันถึงจะเอาชนะภัยได้
แต่กับ Fantastic Beasts ภาค 2 – 3 นี่มันไม่ค่อยได้เปิดโอกาสให้นิวท์ได้โชว์ความเก่งด้านสัตว์วิเศษเลย จุดนี้เป็นอะไรที่รู้สึกเสียดายเหมือนกันครับ
อีกส่วนหนึ่งที่มานั่งคิดหลังดูไปสักพักคือ เหตุผลหนึ่งที่ผมรู้สึกเยอะกับการเปลี่ยนตัว Depp ก็คงเพราะเราคิดมาตลอดน่ะครับว่า กรินเดลวัลด์ Depp กับดัมเบิลดอร์ Jude Law มีใจให้กัน คือคิดภาพเป็นพวกเขามาตลอดน่ะ แต่พอเปลี่ยนตัวเปลี่ยนผู้ มันเลยกลายเป็นสะดุดทางความรู้สึกไป – คงประมาณเดียวกับตอนเปลี่ยนตัวจาก Rachel Weisz เป็น Maria Bello ใน The Mummy น่ะครับ – เปลี่ยนคนแสดงก็เรื่องหนึ่ง แต่เปลี่ยนภาพคู่รักที่เรามีภาพจำไปแล้วนั้น ยังไงมันก็คงรู้สึกไม่มากก็น้อยน่ะครับ