Eurovision Song Contest: The Story of Fire Saga

Eurovision Song Contest: The Story of Fire Saga

นับว่าเป็นจังหวะที่ดี เพราะว่ามหกรรมการแข่งขันเพลงแห่งภูมิภาคยุโรปในปีนี้ถูกยกเลิกการประกวดลงไป เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ทำให้แชมป์เก่าอย่าง เนเธอร์แลนด์ ครองตำแหน่งต่อไปอีกปี แต่ในเมื่อไม่มีการประกวดก็ยังมีเวอร์ชั่นหนังออกมาให้ดู ในหนังตลกเสียดสีการแข่งขันร้องเพลงดังที่สุดในยุโรป “Eurovision Song Contest: The Story of Fire Saga” ที่จัดเต็มและเล่นใหญ่ยิ่งกว่าเมืองไทยรัชดาลัย…

เรื่องราวของ 2 หนุ่มสาวผู้มีดนตรีอยู่ในหัวใจ “ลาร์ส” กับ “ซิกริต” หรือ “ไฟร์ซากา” พวกเขาเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งบนเกาะไอซแลนด์ที่หนาวเหน็บ ความฝันของพวกเขาดูเหมือนจะเกินไขว่คว้า กลายเป็นเรื่องเพ้อๆ ที่ชาวเมืองเองก็ดูจะไม่สนับสนันสักเท่าไหร่ แต่โชคชะตาได้ขีดเส้นเอาไว้ให้พวกเขามีโอกาสผ่านเข้ารอบไปชิงชัยบนเวทีร้องเพลงระดับทวีป จึงได้ไปทำตามความฝัน ท่ามกลางคำสบประมาทต่างๆ ที่เก็บเอาไว้ในใจตลอดหลายปี

การกลับมาอีกครั้งของเจ้าพ่อหนังตลกที่เคยเฟื่องฟูมาเมื่อราวๆ 10 ปีก่อน อย่าง “เดวิด ด็อบกิน” (จาก Wedding Crashers และ The Change-Up) เมื่อได้มาร่วมงานกับ “วิล เฟอร์เรล” หนึ่งในตำนานตลกขาประจำของฮอลลิวูด จึงบังเกิดเป็นหนังที่เต็มไปด้วยมุกตลก…ที่ไม่ค่อยมีความสดใหม่สักเท่าไหร่ ภายใต้โครงเรื่องเดิมๆ ที่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกน่าสนใจมากนัก วิล เฟอร์เรล รับหน้าที่เขียนบทหนังและนำแสดงเองในเรื่องนี้

ภาพรวมของ Eurovision Song Contest แน่นอนว่าเป็นหนังที่มาพร้อมกับมุกเสียดสีสังคมและวัฒนธรรม โดยเฉพาะการหยอกล้อจิกกัดการจับประกวดร้องเพลงเวทีชื่อดังแห่งนี้ ที่เอาเข้าจริงๆ ก็เป็นมหกรรมการแข่งขันที่ศักดิ์สิทธิ์ เพราะจัดต่อเนื่องกันมากว่า 60 ปีแล้ว แต่ความโดดเด่นของเวทีร้องเพลงแห่งนี้ไม่ใช่แค่เพียงเสียงร้องที่ล้ำเลิศของตัวแทนแต่ละประเทศ ความเล่นใหญ่ของแต่ละชาติต่างหากที่เป็นไฮไลท์ที่น่าสนใจ

หนังฉลาดมากที่เลือกตัวละครหลักมาจากไอซ์แลนด์ ประเทศเล็กๆ ที่โดดเด่นอยู่ใกล้กับขั้วโลกเหนือ เป็นชาติที่ไม่ค่อยมีใครสนใจ และมีนักร้องที่โดดเด่นเข้าแข่งขันสักเท่าไหร่ในแต่ละปี แต่หนังก็เลือกชาตินี้มาสร้างสีสัน ด้วยการผลักดันตั้งสมมติฐานที่ว่า หากถ้าไอซ์แลนด์โดดเด่นบนเวทียูโรวิชั่นจะเป็นอย่างไร (ตามสถิตินับตั้งแต่จัดการประกวดเวทีนี้ขึ้นมา ไอซ์แลนด์ยังไม่เคยชนะเลยสักครั้งเดียว)

การมาของ “ราเชล แม็กอดัมส์” ค่อนข้างเหนือความคาดหมาย เพราะต้องมาประกบคู่กับ วิล เฟอร์เรล บอกตามตรงว่าทั้งคู่ไม่มีเคมีที่เข้ากันเลยสักนิด เหมือนจะเป็นแคสติ้งที่ดูขัดแย้งกันเบาๆ แต่ปรากฏว่าเหมือนอยู่ในหนัง ทั้งคู่ก็ดูไหลลื่นและเข้าขากันได้เป็นอย่างดี ท่ามกลางเส้นเรื่องเลิฟไลน์เบาบางที่ยัดใส่เข้ามาแบบงงๆ แต่ก็มีบางมุมที่เรารู้สึกว่าเป็นคู่พระนางที่ไม่มีเสน่ห์ด้วยกันเลยจริงๆ

แต่ ราเชล ก็ยังทำหน้าที่ของตัวเองได้ค่อนน่าพอใจ นี่อาจจะไม่ใช่การแสดงแนวถนัดของเธอสักเท่าไหร่ เพราะเรามักจะเห็นเธอเล่นบนดราม่าจริงจังอยู่บ่อยครั้ง เมื่อมาเล่นคอมมาดีกับตลกมืออาชีพแน่นอนว่าพลังของเธอเข้าไปถึงพวกเขาอยู่แล้ว ขณะที่นักแสดงสมทบอื่นๆ ก็แอบดูไม่น่าจดจำสักเท่าไหร่ “แดน สตีเวนส์” ที่มาเป็นคู่แข่งบนเวทีประกวด เหมือนบทจะมีมิติซับซ้อนให้เล่น แต่ท้ายที่สุดก็เป็นเพียงตัวเสริมกลวงๆ แม้กระทั่ง “เพียร์ซ บอสแนน” หรือ “เดมี โลวาโต” ก็แค่เข้ามาเป็นตัวประดับให้หนังดูสมบูรณ์ขึ้นเท่านั้น

แน่นอนว่า Eurovision Song Contest จะต้องโดดเด่นเรื่องเพลง และเอาเข้าจริงๆ หนังก็ทำได้ดีในส่วนของเพลงประกอบหลายๆ เพลงทีเดียว หนังได้เพลงประกอบที่ชวนฟังและทรงพลังเพราะความพยายามเล่นใหญ่ของหนังเอง แม้เนื้อเพลงบางเพลงจะออกมาแปลกๆ เล็กน้อย แต่พอได้ซาวน์อิเล็กทรอนิกส์ ผสมผสานสไตล์ไวกิ้งที่ฟังดูเอพิกเข้ามาช่วยเสริม ก็ไพเราะดีไปอีกแบบ

แต่น่าเสียดายที่หลายๆ เพลงที่ออกมานั้น นักแสดงไม่ได้เป็นคนร้องเพลงเอง มีเพียง วิล เฟอร์เรล เท่านั้นที่ขับขานออกมาในเพลงต่างๆ เสียงร้องของราเชลได้ใช้นักร้องสาว “มียา มาเรนน์” (มอลลี ซานเดง) มาร้องให้แทน ที่จะเห็นได้ชัดเจนตอนที่อยู่ในหนังว่า เป็นการลิปซิงค์ออกมาจากปากของราเชล ที่เป็นข้อเสียจุดหนึ่งที่ทำให้การแสดงของเธอดูด้อยลงไปอย่างน่าเสียดาย

โดยสรุปแล้ว Eurovision Song Contest ก็เป็นหนังเพลงที่สร้างความบันเทิงให้กับคนดูได้ค่อนข้างน่าพอใจ ถึงแม้ว่าบทจะค่อนข้างอ่อน มุกตลกที่ไม่ค่อยตลก แต่ก็ยังมีหลายมุมที่ทำให้รู้สึกอิ่มเอมใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการตามหาความฝัน มองหาแรงบันดาลใจ และต่อสู้เพียงความหวัง ประเด็นต่างๆ นี้มาได้ถูกจังหวะในช่วงที่โลกเพิ่งผ่านการเผชิญหน้ากับความหดหู่มา

Eurovision Song Contest อาจจะยังไม่ใช่หนังตลกที่ดีที่สุด แต่ก็สร้างสรรค์และเสียดสีเวทีการประกวดร้องเพลงที่ยิ่งใหญ่ของภูมิภาคยุโรปได้อย่างน่าประทับใจ และในท้ายที่สุดคนดูก็น่าจะเกิดอาการคล้ายๆ กัน กับการไม่สามารถนำเอาเสน่ห์หลอนๆ ของเพลง “ยายา ดิ๊งด่อง” ออกไปจากหัวได้สักพัก ใครอยากรู้ว่า ยายา ดิ๊งด่อง ก็ตามไปฟังกันในหนังเรื่องนี้…

ข้อมูลเกี่ยวกับหนัง Eurovision Song Contest: The Story of Fire Saga
ประเภท : ตลก / เพลง
ผู้กำกับ : เดวิด ด็อบกิน
นำแสดงโดย : วิล เฟอร์เรล, ราเชล แม็กอดัมส์, แดน สตีเวนส์, เพียร์ซ บอสแนน
ความยาว : 123 นาที
เข้าฉาย : 26 มิถุนายน 2020 (Netflix – ทั่วโลก)

—————————————————-