Sming – สมิง

สมิง (นรินทร์ วิศิษฏ์ศักดิ์ / Thailand / 2014) C+ อยากให้ลองไปดูกันเยอะๆนะถึงแม้มันจะยังไม่ใช่หนังที่ดีแต่ถือว่าเป็นหนึ่งในหนังไทยที่น่าสนใจมากๆในรอบหลายปี อย่างแรกคือความกล้าหาญของคนทำที่กล้าทำหนังที่แบกรับวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ไว้ทั้งเรื่องซึ่งแนวโน้มความเสี่ยงที่จะเจ็บตัวสูงเพราะมีคู่แข่งเป็นหนังฮอลลีวู้ดที่งานเทคนิคภาพรวมถึงความกลมกล่อมของบทยังไม่สามารถสู้ได้ อย่างที่สองคือความตั้งใจที่สัมผัสได้ในหลายๆ รายละเอียดที่พยายามสร้างชั้นเชิงในส่วนของบทและความหลากหลายของตัวละคร  การต่อสู้กับสมิงที่มีทั้งความเชื่อไทย เขมร จีน ถึงแม้จะไม่ลงตัวดูเก้ๆกังๆอยู่มากแต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นจับฉ่ายสุกเอาเผากินเพื่อโชว์ความกระหายCGIลูกเดียว อย่างที่สามคือมันไม่ใช่หนังที่ขายหน้าหนังเกินหนังตัวเองที่เป็นจริงๆ จนถึงขั้นน่าเกลียด  หนังแนวๆนี้ที่นึกถึงคือ ‘ปืนใหญ่จอมสลัด’ ที่ขายทั้งวิชวลเอฟเฟ็กต์ ดารา ผู้กำกับและคนเขียนบทคนดัง  แต่หนังที่ออกมาเหลวแหลกมาก เสียดายที่บทมันเยอะตัวละครแยะเลยกลายเป็นว่ากระจายความสำคัญให้ตัวละครหลายตัวเกินไปจนจับจุดให้เราติดตามเรื่องราวได้ไม่ไหลลื่น  อีกทั้งยังทิ้งข้อข้องใจไว้ตามรายทางโดยเฉพาะขอบเขตความสามารถของสมิงกับร่างจำแลงของมันและเหล่าวิญญาณที่สมิงสังหารซึ่งถูกพันธนาการไว้ในร่างสมิงนั้นมีความซับซ้อนกับร่างเสือสมิงที่แท้จริงอย่างไร หยิบจับขยายเรื่องราวผิดส่วนไปมากซึ่งแทนที่จะจับธีมอันใดอันหนึ่งให้อยู่หมัดเพื่อสะท้อนสาส์นและสะเทือนอารมณ์อารมณ์ได้ในตอนท้าย  กลับไปแบ่งใสใจรายละเอียดส่วนขยายต่างๆอย่างละเล็กละน้อยเพื่อรองรับการหักมุม  ซึ่งก็เล่นท่ายากเพราะเป็นแบบที่ต้องบาลานซ์การปรากฏตัวของตัวละครและการซ่อนที่รอการเฉลยให้ไม่งกเงิ่นจนดูคลิเช่โต้งๆจนเกินไป ซึ่งในส่วนนี้ทำให้นึกถึง บอดี้ศพ19  แต่สำหรับสมิงมันยากในการเล่ากว่ามากๆ เพราะต้องเล่าตัวละครที่มีทั้งสองสถานะจิตที่แตกต่างกันอยาสงสิ้นเชิงในตัวเดียวกันให้น่าเชื่อ การกำกับช่วงแรกๆ ยังดูขาดๆ เกินๆ เชยๆ…

Boyhood – บอยฮูด

Boyhood (Richard Linklater / 2014 / A+) E+30 for Enjoy  นึกถึง Daniel Radcliff ที่เติบโตไปพร้อมๆ กับบท Harry Potter ร่วมสิบปีโดยที่มีแนวโน้มพัฒนาการความสูงและหน้าตาไปทางเดียวกันกับ Ellar Coltrane ซึ่งกายภาพของทั้งคู่ช่วยเสริมแง่มุมให้ตัวละครมากๆ อย่าง Harry Potter การเติบโตของ Daniel Radcliff ช่วยเพิ่มความเห่ยให้ตัวละครได้มากขึ้น สำหรับเรามันน่าเอาใจช่วยมากกว่าจะให้โตมาหล่อเหลาในแบบที่สาวๆ กรี๊ดกร๊าดกัน และ Ellar Coltrane ใน Boyhood ที่ถึงแม้ตัวละครในเรื่องไม่ได้ถึงขั้นเปลี่ยนไปมากมาย อย่างเช่น ความเชื่อศาสนา อุดมคติทางการเมือง หรือรสนิยมทางเพศ ซึ่งพอ Ellar Coltrane ไม่ได้โตมาด้วยรูปลักษณ์เพียงพอจะให้เป็นหนุ่มหล่อล่ำนักกีฬาแบบพิมพ์นิยม มันก็ทำให้เกิดตัวละครที่มีมิติไม่ธรรมดาโดยไม่ต้องปรุงแต่งมากมายซึ่งน่าสนใจไปอีกแบบ นักแสดงทุกคนในเรื่องเติบโตไปพร้อมตัวละครตลอดระยะเวลา 12 ปี ของเรื่องราวในหนังที่เดินตามเวลาการถ่ายทำตั้งแต่ต้นจนจบ พอใช้วิธีนี้การเติบโตของตัวละครในหนังมันสมจริงมากขึ้น มันมีเสน่ห์ให้ติดตามทั้งโดยเฉพาะพัฒนาการรูปลักษณ์ภายนอกรวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างกันจากการเติบโตของความรู้สึกนึกคิดทัศนคติและรสนิยมภายใน ที่ก่อให้เกิดอุปสรรคชีวิตความขัดแย้งการตัดสินใจแก้ไขปัญหาที่ก้าวผ่านไปทีละน้อยได้เห็นการเติบโตที่ละเอียดอ่อนเพียงพอที่จะทำให้เรานึกย้อนอดีตชีวิตครอบครัว ความรักและมิตรภาพทั้งดีงามและเลวร้ายตามไปพร้อมๆ กับตัวละครได้ ขนาดเราไม่ได้รู้จักวัฒนธรรมอเมริกาดีพอก็ยังรู้สึกเชื่อมโยงได้มากๆ จากลูกเล่นระลึกอดีตที่มาในรูปแบบของสื่อบันเทิงต่างๆ ทั้งเพลง การ์ตูน หนังสือ คลิปวิดีโอ โซเชียลมีเดียฯลฯ นักแสดงกลายเป็นเมจิกขับเคลื่อนทุกอย่างให้มีชีวิตด้วยเสน่ห์จากวิธีการที่ยังไม่มีใครเคยทำช่วยสร้างมิติการรับรู้ใหม่ที่ยังไม่เคยมีหนังเรื่องไหนไปถึง หรืออย่างน้อยส่วนตัวเรายังไม่เคยได้เห็นวิธีการเล่าด้วยนักแสดงแบบนี้ ให้ความรู้สึกคล้ายว่าเรากำลังเฝ้ามองเพื่อนบ้านเพื่อทำความรู้จักและเรียนรู้เรื่องราวการเติบโตของคนที่มีตัวตนจริงๆ เรื่องราวมันเข้าถึงเราแบบไม่ต้องพยายามซึมซาบรมเร้าให้รู้สึกเศร้าหรือสุขเกินไปแต่ปล่อยให้มันเป็นไปตามชีวิตปกติมากที่สุด ชอบการเล่าความเปลี่ยนแปลงของแต่ละตัวละครที่มีรูปแบบการดำเนินชีวิตแตกต่างกันไปกระทั่งพ่อแม่ลูกคนในครอบครัวเดียวกัน แม่ที่จริงจังกับชีวิตเริ่มเรียนป.ตรีป.โทใหม่และเปลี่ยนสามีใหม่ที่เหมือนจะดีทุกครั้งแต่สุดท้ายก็ไม่เคยดี พ่อที่เคยขาดความรับผิดชอบปล่อยวางชีวิตก็ได้มีความสุขกับภรรยาใหม่ ช่างประปาที่ศิวิไลซ์ตัวเองด้วยการศึกษาจนกลายเป็นผู้จัดการร้านอาหาร ครอบครัวธรรมดาๆครอบครัวหนึ่งไปพร้อมกับตัวละครในสังคมแวดล้อมที่เหมือนจะดีแต่ก็ร้ายเหมือนจะร้ายแต่ก็มีเรื่องดีเข้ามา ก่อนที่จะเลวร้ายอีกครั้ง ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ต้องเรียนรู้ที่จะจริงจังเอาใจใส่ซึ่งมีบ้างที่ต้องปล่อยวางและต้องดิ้นรนต่อไปไม่มีที่สิ้นสุดอย่างเอาแน่เอานอนไม่ได้  คิดว่าผู้กำกับก็ต้องมีแผนหนึ่งแผนสองก๊อกสามก๊อกสี่ตลอดการถ่ายทำที่จะทำให้พลิ้วไหวไหลลื่นไปได้เผื่อนักแสดงเกิดอุบัติเหตุล้มหายตายจากหรือเปลี่ยนแปลงไปจากที่คาดคิด ส่วนสนุกอย่างหนึ่งคือการคาดเดาพัฒนาการความเป็นไปของตัวละครนี่แหละ ว่าจะเปลี่ยนแปลงไปมากขนาดไหน มีนักแสดงตายแล้วจะจัดการยังไงบ้าง และพอมีเงื่อนไขที่ต้องใช้นักแสดงคนเดิมมันก็ไม่ใช่แค่นักแสดงต้องเปลี่ยนตามตัวละครในหนัง แต่ตัวละครในหนังก็ต้องเปลี่ยนไปตามนักแสดงซึ่งทำให้เกิดเสน่ห์ความกลมกลืนเป็นธรรมชาติ  ทำให้มองมุมกลับย้อนเห็นรายละเอียดของชีวิตตัวละครที่เชื่อมโยงโลกความเป็นจริงคือชีวิตจองนักแสดงได้มากขึ้น ในหนังส่วนใหญ่มักจะเห็นตัวละครหล่อสวยหรืออย่างน้อยก็น่ารักน่ามองทั้งตอนเด็กและตอนโต กระทั้งตอนแก่ แต่การเติบโตของนักแสดงเรื่องนี้ตั้งแต่ตัวหลักไปจนถึงตัวประกอบมันถูกบังคับให้ปรากฏในหนังไม่ว่ารูปลักษณ์จะเปลี่ยนไปในทิศทางใด จากตอนเด็กน่ารักสดใสที่พอโตขึ้นเดี๋ยวมีมุมหล่อสวยบ้างเดี๋ยวหน้าใสเดี๋ยวหน้าสิวบ้าง สำหรับเรามันเป็นสิวในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ที่จริงใจที่สุดและมีความหมายสะท้อนความจริงที่ไม่แน่นอนของชีวิตได้งดงามที่สุด ปล. คิดตื้นๆ TO’YO’TA ท้ายรถพระเอก YO ที่เหลืออยู่คือ ‘Years Old’ เปล่าวะ มันเจ๋งที่ว่านอกจากจะเป็นสปอนเซอร์(รึเปล่า?)แล้ว มันยังเป็นการไทอินสินค้าให้มีฟังก์ชั่นในหนังเป็นหนึ่งในโมทีฟ Coming of Age ได้ฉกาจเข้าท่ามากๆ อยากเห็นหนังไทยใช้’ไทยประกันชีวิต’ได้แบบนี้บ้างจัง

Dolittle – ด็อกเตอร์ ดูลิตเติ้ล

The Maze Runner (Wes Ball / 2014 / B+) E+20 for Enjoy ตลอดระยะเวลาสามปีจะมีเด็กหนุ่มถูกส่งมายังท้องทุ่งใจกลางเขาวงกตมฤตยูเดือนละคนโดยที่พวกเขาจำอะไรไม่ได้เลยนอกจากชื่อของตัวเองที่จะจำได้ในสองสามวันหลังจากที่มาถึง เริ่มตั้งแต่คนแรกคือ ‘อัลบี้’ หนุ่มผิวสีที่ต้องใช้ชีวิตคนเดียวในช่วงเดือนแรก และในฐานะผู้มาถึงคนแรกเขาจึงกลายเป็นผู้นำไปโดยปริยาย เมื่อเวลาผ่านไปคนใหม่ก็ทยอยเข้ามามากขึ้นเดือนละคนๆ และเด็กใหม่ที่เพิ่งมาถึงจะถูกเรียกว่า ‘กรีนี่’ ทุกคนแบ่งหน้าที่กันทำงานเพื่อความอยู่รอดและพยายามหาวิธีออกไปจากที่นี่ให้ได้จึงต้องมี ‘นักวิ่ง’ ทีมทำภารกิจสำรวจเขาวงกตที่ต้องปิดผลการสำรวจไว้เป็นความลับ นำทีมโดย ‘มินโฮ’ หนุ่มเกาหลีเอเชียเพียงหนึ่งเดียว เป็นคนที่เข้าไปสำรวจในวงกตเพื่อศึกษาพื้นที่ของเขาวงกตที่เต็มไปด้วยอันตรายที่ลึกลับซับซ้อนและการจู่โจมของ ‘กรีฟเวอร์’ สิ่งมีชีวิตกึ่งจักรกลคล้ายแมงป่องหัวล้านขนาดใหญ่ที่คอยขย้ำทุกคนที่ผ่านเข้ามาเพื่อหาทางออกแต่จนแล้วจนเล่าก็ยังไม่เคยเจอ จนกระทั่งวันหนึ่ง ‘โทมัส’ กรีนี่คนล่าสุดถูกส่งมาทำให้กฎกติกาของท้องทุ่งเปลี่ยนแปลงไป…

Invasion – มหาวิบัติเอเลี่ยนล้างโลก

[รีวิว] Invasion – มหาวิบัติเอเลี่ยนล้างโลก— 4.4/10 —เอ๊า!…หนังภาคต่อซะงั้นนอกเหนือจากเอฟเฟคอลังแล้วก็มีแต่ความ “อิหยังวะ”ง่ายๆ คือ ไม่สนุกอะ Invasion – มหาวิบัติเอเลี่ยน บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเอเลี่ยนที่ได้เดินทางกลับมายังโลกเพื่อกลับมาหาหญิงสาวที่เขาหลงรัก แต่มันขัดต่อยานแม่ที่หมายจะฆ่าเธอทิ้งซะ ทำให้เขาต้องร่วมมือกับมนุษย์โลกต่อกรกับภัยพิบัติในครั้งนี้ ***รีวิวนี้มีสปอยล์*** พอตอนหนังเริ่มฉาก เราเริ่มรู้สึกเอะใจแล้วว่าทำไมช่วงแรกมันนานจัง มีฉากนู่นนี่นั่นบอกเล่าถึงเหตุการณ์ต่างๆ ราวกับว่ามันเคยมีหนังมาก่อนหน้านี้แล้ว และมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ Invasion คือ “หนังภาคต่อ” ภาคต่อจากหนังที่ชื่อว่า Attraction (2017) ซึ่งจริงๆ ในเรื่องนี้ตอนจบมันใช้ชื่อว่า Attraction…

อ้าย..คนหล่อลวง – Aii-Con-Lor-Luang

วอน (เธอ) – Wan Ther

[รีวิว] วอน (เธอ)— 6/10 —หนังรักธรรมดาที่คอนเซ็ปต์น่าสนใจบอกเล่าเรื่องราวความรักผ่าน 4 มุมมองที่เห็นภาพรวมชัดขึ้น แต่ก็ไม่ได้เข้าใจมากขึ้น นี่คือหนังที่ไม่เคยอยู่ในสายตาเลยตั้งแต่โปสเตอร์ก็แล้ว ดูตัวอย่างก็แล้ว ตัดออกมาได้เป็นหนังแบบชวนหาวชวนน่าเบื่อมากกับเรื่องราวความรักในช่วงมหาลัย แต่สิ่งเดียวที่ทำให้เราอยากดูคือ คุณฟ้า ษริกา จนโอกาสพอเหมาะพอเจาะกับเวลาทีพอดิบพอดี ก็ได้ตัดสินใจไปดู วอน (เธอ) คือเรื่องราวของเพื่อนที่ได้เรียนมหาวิทยาลัยที่เดียวกัน และดันไปตกหลุมรักผู้หญิงคนเดียวกัน เรื่องมันก็ง่ายๆ แค่นี้แหละ แต่มันแปลกใหม่ตรงที่มันถูกบอกเล่าผ่านหลายมุมมองไม่ใช่ตัวเอกเพียงตัวเดียว แต่เราจะได้เห็นมุมมองความรักในเหตุการณ์เดียวกันผ่านทุกตัวละคร (4 คน) ที่จะเจอกับเหตุการณ์นั้นๆ ทิ้งปมเอาไว้ในแต่ละคน และค่อยๆ คลี่คลายทีละปมเพื่อให้เห็นภาพรวมได้ชัดเจนยิ่งขึ้น…

Dolittle – ด็อกเตอร์ ดูลิตเติ้ล

Dolittle เรื่องราวบทใหม่ของคุณหมดที่พูดกับสัตว์ได้ ส่วนตัวผมเองนั้นคุ้นเคยกับหนังเวอร์ชั่นล่าสุด เอ็ดดี้ เมอร์ฟี่ เล่นมากกว่าเวอร์ชั่นต้นฉบับปี 1967 ซึ่งในเวอร์ชั่นเอ็ดดี้ เมอร์ฟี่เล่นนั้นจะดำเนินเรื่องในยุคปัจจุบัน มีความทันสมัยในด้าบริบทต่างๆ ซึ่งต่างจากเนื้อเรื่องต้นฉบับที่จะดำเนินในยุคกลางอะไรประมาณนั้น และเวอร์ชั่นใหม่นี้เลือกจะที่เล่าให้ตรงตามต้นฉบับ จึงเป็นอะไรที่น่าสนใจและแปลกใหม่สำหรับผมเอามาก ในเวอร์ชั่นนี้เรื่องราวจะเริ่มต้นด้วย Dr Dolittle ได้พบรักกับภรรยาที่เป็นนักสำรวจชื่อดัง ทั่งคู่ได้รับการสนับสนุนที่ดินจากสมเด็กพระราชินี เพื่อเปิดเป็นศูนย์รักษาสัตว์ จนอยู่มาวันนึง ภรรยาเขาได้ออกเดินทางไปค้นหาของบางอย่างในทะเลอันไกลโพน แต่เกิดเหตุเรือล้มจนเสียชีวิตทำให้ Dr. Dolittle เสียใจอย่างมากและเปิดกันตัวเองกับมนุษย์ทุกคน และได้หลบหน้าอยู่กับสัตว์ต่างๆเพียงลำพัง จนกระทั่งราชินีเกิดประชวน ทำให้ Dr.Dolittle ต้องออกเดินทางไกลเพื่อค้นหาวิธีรักษาชีวิตราชินีไว้ให้จงได้…

Guns Akimbo – โทษที…มือพี่ไม่ว่าง

หนังว่าด้วยเรื่องราวของ Miles (Daniel Radcliffe) เกรียนคีย์บอร์ดคนหนึ่ง แต่ดันไปเกรียนผิดที่ เพราะเขาดันไปเกรียนใส่คนเกมแข่งฆ่าสุดเดือด Skizm นั่นจึงเป็นตัวจุดชนวนให้ผู้จัดบุกมาหาเขาและจัดการติดปืนไว้กับมือของเขา พร้อมบังคับให้เขาเข้าร่วมการแข่งนี้เจอกับสุดโหดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เอาจริงๆ เราเห็นมีมนี้มานานมาก กับภาพชุดนอนของ Daniel Radcliffe พร้อมถือปืนที่มือ พอดูตัวอย่างก็อ๋อเลย หนังดำเนินเรื่องเรียบง่ายตรงไปตรงมา เน้นแอ็คชั่น และความเกรียนความบ้าบอของตัวละคร โดยเฉพาะ ตัว Daniel Radcliffe เล่นได้เกรียน บ้าบอ เล่นได้แบบ…ใช้คำว่าไรดีอะ เอาเป็นว่าบันเทิงดีที่ได้เห็น Daniel Radcliffe…

AVA – มาแล้วฆ่า

AVA กับชื่อไทยที่ได้ยิน/เห็น ครั้งแรกถึงกับต้องย้อนมาดูใหม่อีกรอบ “มาแล้วฆ่า” ไม่รู้จะฮาหรืออะไรดีเลย โดย AVA เนี่ยเป็นเรื่องราวของนักฆ่าสาว ที่ได้รับภารกิจจากองค์กรให้ฆ่าเป้าหมายแต่มันดันเกิดความผิดพลาด ทำให้เธอโดนตามล่า และเธอจึงต้องหาทางหนีตายเอาชีวิตรอดให้จงได้ แต่เธอยังต้องมาเผชิญหน้ากับปัญหาในอดีตและครอบครัวของเธอด้วย หน้าหนัง ตัวอย่าง เรื่องย่อ มันชวนให้นึกถึงหนังนักฆ่าสาวหลายเรื่อง อย่าง Lucy, Salt, Atomic Blonde และโครงเรื่องแบบ John Wick อะไรทำนองนั้น แต่เอาเข้าจริงๆ นะ หนังเรื่องนี้มีฉากแอ็คชันน้อยมาก แถมแต่ละฉากยังธรรมด๊าธรรมดา ถือว่าแอ็คชันสอบตกเลยแหละ…

The Secret Garden – มหัศจรรย์ในสวนลับ

The Secret Garden บอกเล่าเรื่องราวของเด็กสาวคนหนึ่งที่ต้องสูญเสียครอบครัวไปและจำใจต้องย้ายไปอยู่บ้านของลุงเธอในประเทศอังกฤษ แต่มีอยู่วันหนึ่ง เธอได้พบกุญแจปริศนาที่นำเธอไปสู่สวนมหัศจรรย์ หากดูตัวอย่างหรืออ่านเรื่องย่อ แม้กระทั่งคำโปรยของหนัง “Unlock Your Imagination” ก็ทำให้ชวนคิดไปได้ว่ามันอาจเป็นเรื่องราวแฟนตาซีเหนือจินตนาการตระกาลตาอะไรทำนองนั้น หากแต่ว่าเนื้อแท้จริงๆ แล้ว มันคือเรื่องราว coming of age การก้าวผ่านความเจ็บปวดของเด็กสาว  การดำเนินเรื่องของเรื่องนี้ใช้คำว่าน่าเบื่อเลยทีเดียว ยืดยาด ชวนง่วง และดูจืดชืดสุดๆ ไม่ได้มีจุดน่าสนใจที่คอยดึงคนดูให้อยู่กับเรื่องได้เลย บทก็พยายามทำให้ตัวละครไปเผชิญกับเหตุการณ์ต่างๆ สลับกับย้อนเหตุการณ์ความสัมพันธ์ของแม่กับเด็กสาว พยายามให้ซึ้ง ให้ดราม่า ก็ยังไม่สามารถสร้างดราม่า สร้างอารมณ์ร่วมให้กับคนดูได้เลยจริงๆ …