Barbarian ถือเป็นหนังสยองขวัญที่ปักหมุดไมล์ในใจผมครับ ไม่ใช่เพราะว่ามันสุดยอดสมบูรณ์จนไร้ที่ติ และไม่ใช่เพราะมันแปลกใหม่อะไร แต่เพราะมันเป็นหนังสยองเชือดที่มีจุดชวนรำคาญอยู่หลายประการ แต่สรุปสุดท้ายแล้วผมก็ยังรู้สึกเชิงบวกกับมันอยู่ดี
ปกติหนังแนวสยองเชือดแบบนี้ ถ้ามันดูน่ารำคาญมันก็จะดร็อปไปเลย อย่างการที่ตัวละครตัดสินใจแบบไม่ฉลาด ประเภทเดินเข้าไปในที่มืดคนเดียว จนเราอยากตะโกนทะลุจอไปบอกว่า “อย่าไปตรงนั้น จะเข้าไปทำไม รีบออกมาเร็วดี้” ปกติเจอแบบนี้แล้วผมมักจะหมดอารมณ์ครับ จะกลายเป็นดูไปเซ็งไป แล้วก็พาลไม่สนุกกับหนังไปเลย
แต่กับเรื่องนี้ ถามว่ามีฉากน่ารำคาญแบบนั้นไหม ก็ตอบได้ว่ามีครับ มีไม่น้อยด้วย บางช่วงนี่ผมเอามือกุมขมับเลยล่ะ ถ้าทำได้ก็คงเอามือไปกระชากตัวละครนั้นๆ ออกมาแล้ว แต่กระนั้นตัวหนังมันก็มีความเข้าท่าและมีพลังแรงพอที่จะทำให้ผมมองข้ามจุดชวนหงุดหงิดเหล่านั้นได้ พูดง่ายๆ คือหนังถือว่าสยองแบบดูสนุกเป็นส่วนใหญ่
เรื่องมันเริ่มเมื่อเทสส์ (Georgina Campbell) จองบ้านเช่าเอาไว้ แต่พอเธอไปถึงกลับพบว่าบ้านมีคนอยู่แล้ว นั่นคือคีธ (Bill Skarsgård)… ผมเล่าแค่นี้แล้วกันนะครับ ที่เหลือดูต่อเองจะเวิร์กสุด
ถ้าไม่นับฉากน่าหงุดหงิดในบางวาระล่ะก็ โดยรวมแล้วหนังเล่าได้สนุกดีครับ มันดูลึกลับ บรรยากาศไม่น่าไว้วางใจ และมีการทิ้งปมให้เราตามเรื่องเป็นพักๆ – ออกตัวเลยครับว่าผมชอบฉากที่พอเทสส์ตื่นแล้วจะรีบออกไปตามนัด พอเธอเดินออกมานอกบ้านแล้วหันไปมองรอบตัวน่ะครับ ฉากที่ว่านี่ชวนขนลุกอย่างได้ผล ให้อารมณ์สยองขึ้นมาทันที แค่นึกว่าถ้าเป็นเราตื่นมาแล้วพบว่าสภาพแวดล้อมรอบบ้านเป็นแบบนั้นก็คงไปไม่เป็นเหมือนกัน
ดาราในเรื่องก็ถือว่าคัดมาดีครับ Campbell น่าจดจำไม่น้อยสำหรับบทเทสส์ ส่วน Bill Skarsgård ก็มาพร้อมภาพลักษณ์ที่ทำให้เราเกิดคำถามว่าตกลงพี่คนนี้แท้จริงแล้วเป็นอย่างไรกันแน่ แต่คนที่ถือว่ามาพร้อมพลังเกินร้อยก็คือ Justin Long ครับ รายนี้มีเท่าไรใส่หมด จริงๆ บทพี่เขาดูน่ารำคาญนะ แต่ Long ก็มีวิธีที่จะทำให้ตัวละครนี้น่ารำคาญแบบพอดีๆ ไม่เยอะเกินจนอยากเบือนหน้าหนี และบทของเขายังสะท้อนแง่คิดหลายๆ อย่างให้เราเก็บไปคิดเป็นการบ้านด้วย
ว่ากันว่าตอนแรก ผู้กำกับ Zach Cregger เชิญให้ Zac Efron มารับบทนี้ครับ แต่ Efron บอกปัด เขาเลยถือโอกาสนั้นมาทบทวนเกี่ยวกับคาแรคเตอร์นี้ใหม่ คิดไปคิดมาก็ตระหนักว่าบทนี้เหมาะกับ Long เลยลองเสนอไป และ Long ก็ตอบตกลงครับ ซึ่งผมถือเป็นเรื่องดีนะ เพราะ Long เหมาะกับบทนี้จริงๆ
ผมคงไม่พูดอะไรมากเกี่ยวกับหนังครับ นอกจากบอกว่าหากใครชอบหนังแนวลึกลับซ่อนเงื่อนและหนังสยองเชือดล่ะก็ เรื่องนี้น่าลิ้มลองอยู่ครับ แล้วก็ต้องขอบอกไว้ก่อนถึงความน่าหงุดหงิดในบางฉากบางตอน เกี่ยวกับการตัดสินใจของตัวละครที่ถือว่าละเมิดกฎของหนังสยองอยู่เนืองๆ (คือผ่าไปทำพฤติกรรมที่ทำแล้วมีโอกาสตายมากกว่ารอดน่ะครับ) อันนี้ขอให้ทำใจเตรียมใจรับไว้สักนิดครับ หากพอจะมองข้ามได้ท่านจะสนุกกับหนังได้อย่างยิ่งเลย
อีกทั้งหากจะคิดมากถึงเรื่องเหตุผล ก็อาจมีประเด็นให้จับผิดเยอะอยู่ครับ ดังนั้นหากจะดูให้เพลินก็ขอให้มองข้ามไปครับ อย่าคิดมาก แล้วเสพความสยองกันไป ผมว่าท่านน่าจะรู้สึกโอเคครับ
อีกอย่างที่ชอบคือแง่คิดที่หนังสะท้อนออกมาครับ ว่ามนุษย์เรานี้ถือเป็นสัตว์โลกที่มีความซับซ้อน บางคนบางวาระก็มีจิตใจดี ปรารถนาดีพร้อมจะช่วยเหลือคนทุกคนให้รอดพ้นโพยภัย แต่บางคนบางวาระจิตใจก็น่ากลัว พร้อมจะทำทุกสิ่งอย่างเพื่อทำให้ตัวเองอยู่รอด โดยไม่สนว่าจะทำให้ใครเดือดร้อนลำบากแค่ไหน – นอกจากนี้ยังมาพร้อมแง่คิดมาตรฐานที่หนังหลายๆ เรื่องชอบบอกกับเรา นั่นคือคนที่ดูน่ากลัวอาจมีจิตใจดี แต่คนที่หน้าตาดีอาจมีจิตใจน่ากลัวก็เป็นได้ – อะไรเหล่านี้ควรหมั่นเตือนตัวเองไว้ เพราะมันไม่ได้มีเฉพาะในหนัง แต่ในชีวิตจริงของคนเราก็พบเจอเรื่องทำนองนี้อยู่บ่อยไป
ในแง่รายได้หนังถือว่าสวยงามอยู่ครับ ลงทุน $4.5 ล้าน ได้คืนมาราวๆ $45 ล้านจากทั่วโลก กำไรไม่เลวเลยครับ
ตามปกติผมจะไม่เชียร์ให้หนังสยองที่เข้าท่าๆ ทำภาคต่อนะครับ เพราะกลัวทำแล้วจะเลอะ แต่เรื่องนี้ผมอยากดูภาคต่อแฮะ เพราะมันยังมีอะไรให้เล่นได้อีกหลายอย่างโดยเฉพาะเหตุการณ์ที่เกิดก่อนเรื่องราวในภาคนี้น่ะครับ ถ้าผูกดีๆ ก็อาจจะได้อารมณ์ประมาณ Saw เลยนะ ทำเป็นเล่นไป
สองดาวครึ่งครับ
(7/10)