Bakuman (Hitoshi One / Japan / 2015)
การที่ไม่ได้อ่านมังงะมาก่อนนี่น่าจะเป็นผลดีที่ทำให้ไม่ติดขัดอะไรกับเรื่องราวในหนังเลย ด้วยตัวบทที่เดินตามขนบหนังสู้เพื่อฝัน มิตรภาพ และชัยชนะทำนองนี้แบบเต็มสูตรมันก็ดูจะเดิมๆ และที่สำคัญคือทำให้เดาเรื่องง่ายไปหน่อย แต่บทและรายละเอียดวิธีการออกแบบทางภาพยนตร์อื่นๆ อย่าง การกำกับ ถ่ายภาพ ไปจนถึงการตัดต่อมันก็ครบถ้วนกระบวนความสมบูรณ์ทั้งจังหวะจะโคนและอารมณ์บรรยากาศหนังที่ส่งหนังให้น่าติดตามและสนุกมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยรายละเอียดที่หมดจดจนแทบมองหาแผลที่น่าติต้องไม่เจอ
รวมถึงนักแสดงที่เหมาะเจาะเอาเรื่องอยู่มากๆ ทั้ง Takeru Satoh (พระเอกจาก Rurouni Kenshin ทั้ง 3 ภาค) กับ Ryunosuke Kamiki (พระเอกเนิร์ดถ่ายหนังจาก The Kirishima Thing) ที่เรื่องนี้ทั้งสองคนเป็นตัวเอกในรูปนี้ รวมถึง Shota Sometani ที่คุ้นหน้ากันดีจาก Parasyte ทั้งสองพาร์ต และในเรื่องนี้ก็มาเล่นเป็นตัวปฏิปักษ์คู่แข่งของพระเอก และโดยเฉพาะ Nana Komatsu ที่พลังเสน่ห์ทะลุทะลวงที่พอรวมกับฝีมือการแสดงแล้วทำให้แทบตายคาจอทุกครั้งที่เธอปรากฏตัว ทำให้ลืมเสียงหัวเราะหลอนๆ ภาพจิตๆ เลือดสาดใน The World of Kanako หรือภาพน่ารักซื่อๆ ใสๆ ใน Close Range Love ที่เล่นเป็นนักเรียนสาวแอบรักครูยามะพีไปเลย และต้องสารภาพว่าไม่เคยรู้สึกมีความสุขกับรีแอคชั่นเว่อร์วังของนักแสดงญี่ปุ่นจนน้ำตาร่วงแทบลุกขึ้นยินดีด้วยขนาดนี้มาก่อน
ถูกบิลด์มาระดับนึงว่าหนังมันสนุกมาก แต่ก็ไม่คิดว่าจะอินแบบเต็มสูบจนน้ำตาไหลเป็นระรอกๆ ได้ขนาดนี้จริงๆ เป็นหนังที่ดูแล้วมีความสุขมากๆ เมื่อมันพาให้นึกย้อนไปถึงช่วงประถม-มัธยมที่วันๆ เอาแต่นั่งวาดรูปการ์ตูนไปแลกดูกันกับเพื่อนหรือไม่ก็นั่งเล่นนั่งท่อง Scrabble เพื่อไปเล่นแข่งซึ่งในความเหน็ดเหนื่อยจนดูหมกมุ่นพวกนั้นมันมีความสุขมากๆ
ถึงทุกวันนี่จะไม่ได้นั่งวาดนั่งท่องศัพท์ไว้ใช้เล่นเท่าไหร่แล้ว แต่แรงฮึดทั้งหมดที่ได้จากในหนังมันเติมไฟให้อยากทำสิ่งที่กำลังทำอยู่ตอนนี้ให้ดีสุดๆ ก็คือการทำหนังนี่แหละ ช่วงอารมณ์มิตรภาพที่ตัวละครมันรวมตัวช่วยกันเพื่อให้งานมันสำเร็จเนี่ยน้ำตาก็ไหลก๊อกใหญ่อีกครั้งแบบอัตโนมัติ เพราะมันพาให้นึกถึงฝันที่มีร่วมกันกับเพื่อนๆ ที่เรียนหนังด้วยกันมา ที่ตอนนี้ก็มีที่ยังดิ้นรนอยู่บ้าง แยกย้ายกันไปตามทางสายอาชีพอื่นเพื่อความอยู่รอดบ้าง แต่มันก็ชวนให้นึกฝันว่าอยากจะมีโมเมนต์แบบในหนังที่วันหนึ่งเพื่อนจะกลับมารวมตัวกันช่วยกันทำหนังด้วยกันให้สำเร็จ เท่านั้นแหละน้ำก็แตกไหลพรากๆ โถอ่อนไหวจริงๆ เลยกู
ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วมันสาหัสขนาดไหนกัน แต่พอได้เห็นคนเขียนมังงะในญี่ปุ่นทุ่มเทเหน็ดเหนื่อยขนาดนี้เพื่อให้ได้การ์ตูนออกมาแต่ละหน้าๆ ขนาดนี้ มันก็ทำให้นึกย้อนกลับมามองว่าคนทำหนังไทยอย่างเราๆ ทุกวันนี้มันพยายามพอหรือยังวะ มันก็ทำให้เราฮึดขึ้นมาได้แบบพุ่งทยาน คืนนั้นหลังจากที่ดูเสร็จกลับมาห้องก็นั่งนอนคิดบทต่อจนตีสามด้วยความสุข ใครหมดแรงสร้างงานดูหนังเรื่องนี้แล้วน่าจะได้พลังมาเพิ่มเติมไม่น้อยเลยล่ะ