Dragon Rider – มหัศจรรย์มังกรสุดขอบฟ้า
มองแวปแรกและดูจากตัวอย่างก็ทำให้นึกถึง How to Train Your Dragon เพราะมันมีหลายจุดที่ละม้ายคล้ายคลึงกันมาก ทั้งเรื่องราวของคนอยู่ร่วมกับมังกร หรือ การตามหาสถานที่ที่มังกรจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข แต่พอได้ดูจริงๆ แล้ว มันมีจุดที่ต่างกันกับ How to Train Your Dragon และมีแนวทางเป็นของตัวเองอยู่พอสมควรเลยแหละ
Dragon Rider บอกเล่าเรื่องราวของกลุ่มมังกรที่ต้องอาศัยอย่างหลบซ่อนจากมนุษย์ แต่แล้วมังกรตัวหนึ่งก็ตัดสินใจออกเดินทางตามหาดินแดนสวรรค์ของเหล่ามังกรเพื่อจะได้อยู่กับแบบไม่ต้องหลบซ่อนอีกต่อไป จนกระทั่งเขาได้บังเอิญไปเจอกับมนุษย์ที่บอกว่าคือ Dragon Rider จึงเกิดเป็นการผจญภัยตามหาดินแดนสวรรค์นั้น
อย่างที่บอกตอนแรกว่าหนังมีความต่างกับ How to Train Your Dragon พอสมควร ที่เด่นชัดคือมันมีความเป็นปัจจุบัน เรื่องราวมันเกิดในโลกยุคปัจจุบัน มีการข้องเกี่ยวกับเทคโนโลยีต่างๆ Internet, Skype, แอปหาคู่ ซึ่งถูกนำมาผสมผสานอย่างลงตัวและเรียกเสียงหัวเราะได้เป็นอย่างดี แถมมุกแต่ละอย่างที่ใส่มาก็นับว่าเรียกเสียงหัวเราะได้อย่างไม่เคอะเขินและไม่จืดชืดเลยทีเดียว
ระหว่างทางมีการเล่นตัวเองด้วยกลัวคนเอาไปเปรียบเทียบ ใช้ชื่อโปสเตอร์ในแบคกราวช่วงแรกไปเลยว่า How to Tame Your Dragon พร้อมๆ กับแสดงจุดยืนความเป็นตัวเองอย่างชัดเจน และยังมีการล้อเลียนอนิเมชันเรื่องอื่นๆ อีกมากมาย หลายซีนก็ฮาจริงๆ
หนังมีการดำเนินเรื่องอย่างไม่ซับซ้อน เข้าใจง่าย เด็กดูได้ ผู้ใหญ่ดูดี ถึงแม้หลากหลายสถานการณ์จะคลี่คลายเร็วและดูง่ายแบบรีบๆ ไปหน่อย แต่ก็ยังสร้างความบันเทิงได้ตลอดรอดฝั่ง
สิ่งที่น่าสนใจและดึงเราเฮฮากับเรื่องได้คือเหล่าตัวละครนำ ทั้งมังกรตัวดีเอย ตัวร้ายเอย, บราวนี่, มนุษย์ ซึ่งสามตัวละครนี้อาจจะไม่ได้ดูน่ารัก แบบน้อนนนนน อะไรแบบนั้น แต่มันอยู่ด้วยกันแล้วเฮฮาชะมัด แถมตัวละครประกอบอื่นๆ ก็ลงตัวกับเรื่องราว แถมบางตัวยังเรียกเสียงฮาได้แบบไม่บันยะบันยังเลยทีเดียว
งานด้านภาพอาจจะไม่ได้สวยสมจริงจนน่าตกตะลึง แต่ก็ถือว่าเป็นงานภาพอนิเมชันในยุคนี้ที่ไม่ได้น่าเกลียดเลย ถือว่าอยู่ในระดับมาตรฐาน
สรุปแล้ว Dragon Rider เป็นหนังอนิเมชันที่เกินคาดในหลายจุด ทั้งความต่างกับ How to Train You Dragon ที่ให้ความรู้สึกคนละอารมณ์, ทั้งมุกที่ฮา และความสนุกที่เกินคาดเลยทีเดียว