Dracula 2020หลัง โจนาธาน ฮาร์เกอร์ (จอห์น เฮฟเฟอร์นาน) ทนายอังกฤษดวงกุดหนีออกมาจากปราสาทของ เคาต์แดร็กคูลา (แคลส แบง) เจ้าชายผีดิบรูปงามที่เปลี่ยนเขาให้กลายเป็นสมุนอมนุษย์ เขาได้บอกเล่าเรื่องราวสุดสยองที่ได้พบเจอให้แก่ ซิสเตอร์อกาธา (ดอลลี เวลส์) แม่ชีนักล่าแวมไพร์ตระกูล แวน เฮลซิง แต่เมื่อเรื่องราวบรรจบกับเวลาราตรีปัจจุบัน สำนักชีที่เหมือนปราการของพระเจ้าก็ต้องเผชิญศึกจาก เคาต์แดร็กคูลา ผู้หมายมาเอาตัว มีนา ฮาร์เกอร์ (มอร์ฟีดด์ คลาร์ก) คู่หมั้นของโจนาธานเพื่อเอาไปเป็นเจ้าสาวแห่งรัตติกาลของเขาต่อไป งานนี้ซิสเตอร์อกาธาจะกำราบปีศาจร้ายอย่างแดร็กคูลาและปกป้องทุกคนจากความตายได้หรือไม่สิ่งหนึ่งที่ต้องขอบอกไว้ก่อนจะตัดสิน มินิซีรีส์ 3 ตอนจบนี้ว่าเป็นเพียงเหล้าเก่าในขวดใหม่ก็คือ เรื่องย่อที่เราเพิ่งเล่าไปเป็นเพียงแค่เรื่องย่อของตอนแรกเท่านั้น ! ใช่ครับ เพราะอีก 2 ตอนที่เหลือล้วนเต็มไปด้วยการดำเนินเรื่องที่เกินคาดเดา ด้วยว่า Dracula ฉบับนี้เป็นไอเดียของ มาร์ค เกทิสส์ และ สตีเฟน มอฟแฟตต์ สองครีเอเตอร์ที่เคยกุมบังเหียน Sherlock ซีรีส์เชอร์ล็อค โฮมส์ สุดฮิตของ BBC ที่คราวนี้ก็มาจับมือกับ Netflix และดึงพวกเขามาคิดมาเขย่าไอเดียเล่าเรื่องแดร็กคูลาในมุมมองใหม่ ซึ่งเอาเข้าจริงเราก็ผ่านหนัง-ซีรีส์แวมไพร์กันมาจนเฝือแล้ว และส่วนใหญ่ก็หนีไม่ค่อยพ้นสิ่งที่ บราม สโตเกอร์ ผู้ประพันธ์นิยาย Dracula กล่าวไว้สักเท่าไหร่ด้วยกฎเกณฑ์ซ้ำ ๆ ซาก ๆ ทั้งเรื่องกลัวแสงแดด แพ้ไม้กางเขน สร้างสมุน และตามหาเจ้าสาวรัตติกาล ซึ่ง Dracula ฉบับมินิซีรีส์นี้ก็ยังนำเอาแนวคิดดังกล่าวมาปรับใช้ แต่ที่โดดเด่นมาก และไม่มีหนังแดร็กคูลาเรื่องไหนเคยทำคือการตั้งคำถาม ดังนั้นเราเลยเห็นการเล่าเรื่องในมุมมองของ ซิสเตอร์อกาธา ซึ่งโดยปกติตัวละครแม่ชีมักเป็นแค่ตัวประกอบ แต่ Dracula ก็เพิ่มรายละเอียดเข้าไปว่าเธอสืบเชื้อสายมาจากตระกูล แวน เฮลซิง หรือผู้ที่ปราบเคาต์ วลาด แดร็กคูลา ได้สำเร็จนั้นแหละครับ ซึ่งซีรีส์ก็เล่นกับชื่อ นามสกุล ตัวละครในนิยายฉบับ บราม สโตเกอร์ อย่างสนุกสนานทีเดียวโดยการเล่าเรื่องที่เราพอบอกได้แบบไม่สปอยล์คือ 3 ตอนของมินิซีรีส์ Dracula แทบจะเป็นหนังคนละแนว โดยตอนแรกเป็นการปูพื้นและทวนภาพจำของผู้คนที่มีต่อเรื่องราวของแดร็กคูลาในแนวโกธิค-สยองขวัญ เราจะได้เห็นสิ่งที่คุ้นเคยทั้งปราสาทบนภูเขารวมไปถึงตัวละครที่เราคุ้นเคยตั้งแต่ฉบับนิยายทั้ง ฮาร์เกอร์ แดร็กคูลา แวน เฮลซิง เรื่อยไปจนถึงการปูพื้นเรื่องกลัวแสงแดด แพ้ไม้กางเขน และภารกิจตามหาเจ้าสาวรัตติกาล โดยมีสมุนอย่าง โจนาธาน ฮาร์เกอร์ ทนายหนุ่มผู้โชคร้ายจากเกาะอังกฤษที่ถูกขอให้อยู่เพื่อสอนภาษาอังกฤษและมารยาทพื้นฐานก่อนเคาต์ แดร็กคูลา มีแผนจะย้ายไปอยู่ยังลอนดอน.. ใช่แล้วครับ เป้าหมายของแดร็กคูลาคราวนี้คือนอกจากการตามหาเจ้าสาวแล้ว ยังเป็นการไปหาแหล่งที่อยู่ใหม่ และเขาก็เลือกลอนดอน ประเทศอังกฤษ ด้วยหวังจะใช้ชีวิตและดูดเลือดจากเหล่าปัญญาชน ส่วนตอนที่ 2 คือจุดเริ่มของเซอร์ไพรส์ เพราะคราวนี้โทนการเล่าเรื่องเริ่มขยับมายังหนังแนวเอาตัวรอดในเรือโดยสาร เพราะคราวนี้ผู้โดยสารแปลกหน้าแต่ละคนจะต้องหนีการตามล่าของผีดิบดูดเลือด และตอนนี้ยังเล่นกับการวิพากษ์เรื่องชนชั้น เรื่องรสนิยมทางเพศ ส่วนตอนสุดท้ายนี่แหละไฮไลต์เด็ด..เพราะมันเล่าเรื่องเป็นหนังไซไฟ-สยองขวัญที่ไม่ได้อยู่แค่ปี 1896 เหมือน 2 ตอนแรกแล้ว มิหนำซ้ำยังวิพากษ์สังคมได้อย่างเจ็บแสบ เปรียบเทียบการเสพย์ติดวัตถุกับเลือด ได้อย่างคมคายแบบไม่คิดว่าหนังหรือซีรีส์ แดร็กคูลา จะมาได้ไกลขนาดนี้เลยแหละอีกจุดที่เจ๋งมากคือการสร้างคาแรกเตอร์ แดร็กคูลา และ ซิสเตอร์อกาธา ในซีรีส์นี้ ที่ไปไกลกว่าแค่การเป็นเรื่องของความดีชนะความชั่วน่าเบื่อ ๆ อย่างที่ผ่านมา เพราะคราวนี้การได้ แคลส แบง นักแสดงหนุ่มหล่อชาวเดนมาร์กได้ทำให้แดร็กคูลาฉบับนี่กลายเป็นหนุ่มหล่อเสน่ห์แรง ฉลาดและแสนอันตราย มากกว่าการเป็นปีศาจหลอกหลอนสร้างความน่ากลัวแบบฉบับอื่น ๆ จนทำให้ตัวละครแดร็กคูลาฉบับนี้ดูน่าจดจำและน่ามองกว่าฉบับอื่นเยอะเลย และอีกตัวละครที่ทำได้ดีมากคือ ซิสเตอร์อกาธา ที่ได้ ดอลลี เวลส์ มาเติมบุคลิกแบบนักวิทยาศาสตร์ที่มองแดร็กคูลาเป็นทั้งศัตรูและผลงานทดลองความเชื่อของตัวเอง เรียกได้ว่าบทซีรีส์สามารถพลิกให้ตัวละครที่เหมือนจะเป็นตัวประกอบกลายเป็นไฮไลต์สำคัญที่ทำให้ซีรีส์ดูสนุกทีเดียวโดยรวมแล้วเป็นมินิซีรีส์ที่แนะนำสำหรับคอหนังสยองขวัญและคนที่อยากดูซีรีส์ไอเดียแปลก ๆ มาก เพราะคราวนี้มันไม่ได้เล่าเรื่องแดร็กคูลาซ้ำรอยทางกับเรื่องอื่น แถมเนื้อหายังดูสนุกและชวนคิดอีกด้วย แถมสเปเชียลเอฟเฟกต์ก็เนี๊ยบมากทั้งการเมคอัปคนให้ดูเละ ๆ หรือคอมพิวเตอร์กราฟิกที่บอกเลยว่าไม่แพ้หนังใหญ่เลย และส่วนตัวใครคิดถึงเพลง Angels ของรอบบี วิลเลียมส์ มันได้ถูกนำมาประกอบอย่างช่างคิดในซีรีส์เรื่องนี้ด้วยครับ