I Just Wanna Hug You หนังโรแมนติกผสมชีวิตที่สร้างจากเค้าโครงเรื่องจริงของชายหญิงคู่หนึ่งที่ต้องฝ่าฟันอุปสรรคหลายประการกว่าจะได้ครองคู่กัน
มาซากิ (Ryô Nishikido) คือหนุ่มขับแท็กซี่ที่หากมีเวลาว่างก็จะไปเล่นกีฬากับเพื่อนๆ ทีนี้อยู่มาวันหนึ่งโชคชะตาก็พาเขาไปพบกับ สึคาสะ (Keiko Kitagawa) สาวพิการผู้ต้องนั่งรถเข็นเวลาจะไปไหนมาไหน แล้วเมื่อเขากับเธอได้เจอกันบ่อยขึ้นหัวใจของมาซากิก็เริ่มรู้สึกดีๆ กับสึคาสะครับ และนั่นคือจุดเริ่มต้นของความรักของพวกเขา
ว่าตามจริงเนื้อเรื่องนั้นออกแนวชีวิตรันทดอยู่พอสมควรครับ แต่ผู้กำกับ Akihiko Shiota ตั้งใจนำเสนอออกมาด้วยพลังบวก ให้คนดูดูแล้วมีความหวัง มีความรู้สึกดีๆ และ Feel Good ซึ่งก็ถือว่าหนังทำได้สำเร็จพอตัว ดูแล้วมีความสุข มีความอบอุ่น แม้จะมีน้ำตาบ้างในบางช่วงตอน แต่โดยรวมแล้วหนังทำให้รู้สึกน่ะครับว่าชีวิตยังมีความหวัง
โดยส่วนตัวแอบรู้สึกว่าบทหนังยังแน่นได้อีกครับ โดยเฉพาะตอนต้นๆ ที่บางประเด็นก็ถูกนำเสนอแบบค่อนข้างห้วน เดินเรื่องค่อนข้างเร็ว แต่ยังดีครับที่ฝีมือดารานำนั้นเอาอยู่ Kitagawa สื่ออารมณ์ของสึคาสะได้อย่างพอเหมาะ แม้เธอจะพิการและดูไม่ค่อยอยากยุ่งกับใครในบางวาระ แต่โดยรวมแล้วเราจะได้สัมผัสถึงความน่ารักของเธอน่ะครับ จนผมไม่แปลกใจเลยที่มาซากิจะตกหลุมรัก เพราะเธอมีทั้งจิตใจที่แข็งแกร่ง แต่ก็แฝงไว้ด้วยความน่าทะนุถนอม ท่าทางโก๊ะนิดๆ น่ารักหน่อยๆ ไหนจะวิธีคิดเชิงบวกท่ามกลางชีวิตที่เต็มไปด้วยข้อจำกัดอีก ยอมรับเลยครับว่า Kitagawa แสดงได้ดีจริงๆ
ส่วน Nishikido ก็ดูเป็นหนุ่มแสนดีครับ ที่สำคัญคือดูแล้วเชื่อว่าเขาแอบชอบสึคาสะมากขึ้นทีละนิด และที่สัมผัสได้แบบชัดๆ เลยคือความรู้สึกที่เขาอยากปกป้องดูแลสึคาสะ จุดนี้ Nishikido ถ่ายทอดออกมาได้ดีเช่นกัน – ดังนั้นแม้ช่วงต้นด้านบทหอาจไม่เด่นแบบชัดเจน แต่เพราะการแสดงของพระ-นางคู่นี้นี่แหละครับที่ทำให้หนังชวนดูไปเรื่อยๆ และบิ้วอารมณ์รักให้ก่อตัว
หนังมีฉากหลังเป็นหน้าหนาวที่หิมะขาวโพลน ซึ่งดูแล้วก็ได้อารมณ์หนาวอยู่นะ แต่ในแง่ความรู้สึกแล้วมันอบอุ่นครับ มันสัมผัสได้แบบเต็มๆ ว่าเวลาพวกเขาอยู่ด้วยกันมันเต็มไปด้วยกลิ่นอายความรัก ความปรารถนาดีและอยากดูแลกันและกัน แม้โดยมากแล้วมาซากิจะเป็นฝ่ายดูแลก็ตาม แต่แววตาของสึคาสะก็บ่งบอกน่ะครับว่าเธอรู้สึกประทับใจ ห่วงใย และรู้สึกขอบคุณมาซากิเหมือนกัน
นอกจากประเด็นความรักระหว่างพระ-นางแล้ว ก็ยังมีประเด็นเกี่ยวกับครอบครัวของทั้งคู่ครับ พ่อแม่ของมาซากิก็มีปัญหาแบบหนึ่ง ส่วนแม่ของสึคาสะก็มีปัญหาอีกแบบ ซึ่งพวกเขาก็ต้องพิสูจน์ตัวเองให้ทุกคนประจักษ์ว่าความรักของพวกเขาไม่ใช่แค่รักฉาบฉวย หรืออารมณ์ชั่ววูบ ทว่ามันคือสายใยรักมั่นที่ทั้งสองอยากใช้เวลาร่วมกันและดูแลกันให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งด้วยความน่ารักของพวกเขาก็ทำให้เราอดเอาใจช่วยไม่ได้
– และแน่นอนว่าเมื่อพวกเขาสมหวัง เราก็อดไม่ได้ที่จะดีใจแทน
ผมนิยามว่าหนังเรื่องนี้เป็นแนวโรแมนติกแบบกลมกล่อมครับ เพราะมันไม่ได้หวานแหววแบบจัดๆ แล้วก็ไม่ได้ดราม่าแบบสุดๆ มันคือทางสายกลางที่มีครบรส มีความหวานนิดๆ ดราม่าหน่อยๆ มีสุขมีเศร้าเคล้ากันไป และเป็นการเคล้าที่ค่อนข้างเข้ากัน อาจไม่ถึงกับสมบูรณ์แบบเยี่ยมยอดสุดๆ แต่ก็อยู่ในโซนหนังดีน่าดู – ดูแล้วอิ่มเอมน่ะครับ
ผมชอบในหลายโมเมนต์ของหนังครับ โมเมนต์ที่ชอบมากๆ คือตอนที่มาซากิและสึคาสะคุยกับคุณแม่ของสึคาสะเรื่องการจะคบหาแต่งงานกัน แล้วคุณแม่ก็ไม่เห็นด้วยเพราะคิดว่าลูกของเธอนั้นดูแลตัวเองไม่ได้ และอาจกลัวว่าหากมาซากิเกิดทนเรื่องนี้ไม่ไหวขึ้นมาในสักวันหนึ่งก็อาจทิ้งสึคาสะไป และสึคาสะต้องมาเสียใจอีก – จุดนี้ก็พอเข้าใจความคิดของคุณแม่อยู่เหมือนกัน
พอสึคาสะรู้ว่าคุณแม่ไม่เห็นด้วยเธอก็พยายามพิสูจน์ตัวเองโดยการจะชงชาให้แม่ดู แต่ก็นั่นล่ะครับ ร่างกายเธอขยับได้แค่บางส่วน ทำให้การชงชาไม่ใช่เรื่องง่าย แต่สึคาสะก็ยังพยายามจนมาซากิเป็นฝ่ายพูดขึ้นว่า “ผมช่วยเธอชงชาได้ครับ หรือถ้าเธอจะเป็นคนชง ผมก็รอได้ครับ” – พอได้ยินประโยคนี้น้ำตาผมไหลออกมาเลยครับ มันคือคำพูดง่ายๆ ที่กินใจ และสื่อถึงความรักที่มาซากิมีต่อสึคาสะจริงๆ เขายอมรับในสิ่งที่เธอเป็น และตั้งใจจะอยู่กับเธอจริงๆ แม้ว่ามันจะไม่ใช่เรื่องง่ายก็ตาม
ผมดูหนังเรื่องนี้ในวันวาเลนไทน์ครับ ตั้งใจเลือกมาดูโดยตอนแรกก็คิดเหมือนกันว่าหนังจะออกแนวหวานๆ เข้ากับบรรยากาศสีชมพูของวันวาเลนไทน์ แต่กลายเป็นว่าหนังไม่ได้หวานแบบนั้น แต่เป็นความหวานปนขมซึ่งก็เหมือนกับชีวิตรักของคนทุกผู้ที่มันไม่ได้สวยงามราบรื่นตลอดไปหรอก มันต้องมีทั้งวันที่ดีและวันที่แย่ ต้องมีทั้งวันที่สุขและวันที่ทุกข์ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับเราและคนรักของเราว่าจะรับมือกับมันอย่างไร จะประคองกันต่อไปไหม
ปัญหาคือบททดสอบความรักครับ ทดสอบว่าคู่รักจะร่วมมือกันฟันฝ่าได้ไหม จะอดทนปัญหา (รวมถึงอดทนกันและกัน) ได้เพียงไร แต่ละครั้งที่คู่รักช่วยกันฟันฝ่าปัญหา ก็เหมือนประสบการณ์ที่จะหล่อหลอมให้รักนั้นแข็งแกร่งขึ้น และยังมีผลพลอยได้เช่นทำให้เราเข้าใจชีวิตมากขึ้น เข้าใจตนเองและคนรักมากขึ้น – มันช่วยให้เราเติบโตขึ้นครับ
ถ้าถามว่าหนังเหมาะแก่การดูวันวาเลนไทน์ไหม? …ผมว่าเหมาะนะ เพราะมันคือหนังที่บอกเล่าเรื่องราวความรัก ทั้งมุมสุขและมุมทุกข์ ทั้งวันฟ้าใสและวันฟ้าหม่น – การบอกรักใครสักคน แล้วอีกฝ่ายตอบตกลงนั้น มันไม่ใช่เส้นชัยครับ… มันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น
ผมแอบถามตัวเองอยู่ในใจนะว่าผมจะเอาหนังเรื่องนี้มาดูอีกไหม เพราะใจหนึ่งก็ชอบครับ แต่อีกใจหนึ่งหนังก็มีมุมดราม่าที่ต้องใช้ใจที่แกร่งในการรับชมอยู่เหมือนกัน – และตอนนี้ผมก็ยังตอบตัวเองไม่ได้
แต่ผมบอกได้อย่างหนึ่งว่า หนังเรื่องนี้ควรค่าแก่การรับชมสักครั้งครับ
สองดาวครึ่งครับ
(7/10)