พอล (Jason Patric) อดีตมาเฟียระดับตำนานเจ้าของฉายา “เดอะ พริ้นซ์” ได้ล้างมือจากวงการ แล้วหันไปใช้ชีวิตเรียบง่ายในเมืองห่างไกล แต่เมื่อเขารู้ว่าเบธ (Gia Mantegna) ลูกสาวของเขาหายตัวไป เขาเลยต้องออกโรงตามหาลูก อันนำเขาไปสู่การเผชิญหน้ากับสารพัดอันตรายและรอยแค้นจากอดีตที่รอคอยเขาอยู่
The Prince มาในแนว Taken ผสมด้วย John Wick ครับ ถือเป็นโครงเรื่องที่หากทำออกมาดีๆ นี่มีสิทธิ์ออกมาเป็นหนังมันส์ได้เลย แต่ก็คงพอจะเดาได้น่ะนะครับว่าผลลัพธ์มันไม่ใคร่จะมันส์สักเท่าไรหรอก แต่กระนั้นมันก็ไม่ได้แย่จนเกินงามนะครับ จริงๆ ถือว่าพอดูได้สำหรับหนังเกรดบีสักเรื่อง เพราะอย่างน้อยหนังก็พอจะมีองค์ประกอบดีๆ ให้เราดูอยู่
องค์ประกอบดีๆ ที่ว่าก็คือดาราที่มาเล่นครับ แต่ละคนถือว่าทำหน้าที่ได้โอเค คืออาจไม่ถึงกับดีแต่ก็ถือว่าโอเค พอรับได้ ตัวเอกอย่าง Patric (Speed 2: Cruise Control) ถือว่าพอไหวสำหรับบทนำครับ เป็นนักฆ่าระดับตำนาน แต่ก็น่าเสียดายที่หนังยังไม่สามารถดันให้เขาดูมีบารมีและมีความน่าเกรงขามสักเท่าไร
ส่วนป๋า Bruce Willis มาเป็นโอมาร์ เจ้าพ่อที่มีอดีตแค้นกับพอล รายนี้ก็ไม่มีบทอะไรมาก แต่ก็ถือว่าใช้ได้สำหรับบทคนบ้าอำนาจ แต่รายที่ผมออกจะชอบมากหน่อยก็คือ John Cusack ในบทแซม เพื่อนของพอล รายนี้มีโอกาสได้ปล่อยของตอนที่เขาเล่าถึงตำนานของ เดอะ พริ้นซ์ ถือว่าการแสดงของเขายังไว้ลายครับ เป็นหนึ่งในฉากที่น่าสนใจที่สุดในหนังเลยก็ว่าด้วยได้
เรายังจะได้เจอ Rain มารับบทเป็นมาร์ค มือขวาของโอมาร์ ซึ่งผมว่าเขาก็เล่นได้ไม่เลวนะครับ ดูร้ายกาจยียวนใช่ย่อย อีกคนก็ 50 Cent ในบท เดอะ ฟาร์มาซี วายร้ายอีกคนที่พอลต้องเผชิญ กลายเป็นว่าบทที่เขาเล่นแบบโผล่มาสั้นๆ วางอำนาจแบบร้ายๆ แบบนี้ถือว่าเหมาะกับเขาครับ ดูเข้าท่ากว่าตอนเล่นนำในเรื่อง Setup เยอะ และอีกคนที่ถือว่ากลางๆ ไม่บวกไม่ลบก็คือ Jessica Lowndes ในบทเพื่อนของเบธที่มาช่วยพลอตามหาเบธอีกที
ต้องบอกก่อนนะครับว่าที่ผมเอ่ยชมการแสดงของดาราในเรื่อง ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาแสดงได้สุดยอดอะไรแบบนั้นนะ แต่ถือว่าแสดงได้เข้าท่า ทำหน้าที่ได้ไม่เลว จนบอกได้เลยครับว่าถ้าผู้กำกับคุมหนังให้ดีๆ ทำให้เดินเรื่องมันส์และคิวบู๊เข้มล่ะก็ หนังต้องออกมาน่าพอใจอย่างมากแน่ๆ
แต่จุดดร็อปของหนังก็คือการเดินเรื่องนี่แหละครับ ที่ยังไม่ชวนติดตามขนาดนั้น พูดตรงๆ เลยก็คือที่ผมรู้สึกว่าอยากดูหนังต่อไปเรื่อยๆ นั้นก็เพราะพลังดาราเป็นหลักเลย ในขณะที่ตัวหนังออกมาธรรมดามาก โดยผู้รับหน้าที่กำกับเรื่องนี้ก็คือ Brian A. Miller ซึ่งผลงานของเขาก็วนเวียนอยู่กับหนังเกรดบีนี่แหละครับ ผลลัพธ์ถือว่ายังไม่ลงตัวนัก ต้องบอกว่าเรื่องนี้ดีที่ได้ดารามาพยุง ไม่งั้นหนังอาจจะชวนหาวกว่านี้ก็ได้
ดาวครึ่งพอได้ครับ
(5/10)