ภาคแรกผมอยู่ในข่ายชอบครับ แม้ว่ามันจะไม่ถึงกับยอดเยี่ยมอะไร แต่มันโดนใจและถูกจริต อีกทั้งการแสดงของพระ-นาง (ที่เป็นสามีภรรยากันในชีวิตจริง) ก็เป็นพลังสำคัญทำให้หนังเรื่องนี้หวานแบบพอดีๆ
สำหรับ A California Christmas: City Lights (★★) ก็เล่าเรื่องในปีถัดมา หลังจากโจเซฟ (Josh Swickard) และแคลลี่ (Lauren Swickard) ตกลงคบหากัน พวกเขาก็ใช้ชีวิตอยู่ในไร่ของแคลลี่ แต่แล้วก็มีเหตุให้โจเซฟต้องกลับเข้าเมืองเพื่อช่วยกอบกู้สถานการณ์ที่กำลังง่อนแง่นของบริษัทที่พ่อของเขาก่อร่างสร้างขึ้นมา
ผมเดาไว้ตั้งแต่ต้นแล้วครับว่าภาคนี้หนังต้องจับประเด็นสไตล์ “เมืองใหญ่พายุ่ง” พอพระนางเข้ากรุงแล้วก็เจอปัญหา เจอความวุ่นวายทั้งจากบริษัทและจากคนเมืองจนเป็นเหตุให้ทั้งคู่ทะเลาะกันแล้วก็ทำท่าจะแยกกัน ก่อนที่สถานการณ์จะได้รับการแก้ไขให้ลงเอยด้วย – ก็เป็นตามนั้นเป๊ะครับ
จริงๆ ผมโอเคนะ เข้าใจว่าภาคต่อของหนังรักมันก็ต้องประมาณนี้แหละ ซึ่งจะว่าไปผมก็ไม่มีปัญหากับปมที่พระนางต้องเจอครับ ไม่ว่าจะบริษัทมีปัญหา-หุ้นส่วนทำท่าจะถอยห่าง-คนในเมืองไม่น่ารัก-มีคนคิดจะเล่นงานโจเซฟให้รับตำแหน่งไม่ได้-มีคนคิดจะทำให้แคลลี่อยากเลิกกับโจเซฟ-ปัญหาความห่างเหินที่พอแคลลี่เข้าเมืองแล้วไม่ค่อยได้คุยกับน้องสาว ฯลฯ อะไรเหล่านี้เป็นที่เข้าใจได้ครับว่าใส่เข้ามาเพื่อเป็นบททดสอบให้พระนางฝ่าฟัน
ปัญหาเยอะ (ในหนัง) จริงๆ เป็นเรื่องดีนะครับ เพราะมันจะสนุกตอนที่พวกเขาร่วมกันแก้ปัญหา ร่วมกันเอาชนะอุปสรรค และจับมือเคียงข้างกันไม่ว่าจะล้มลุกคลุกคลานแค่ไหน แต่กลายเป็นว่ากระบวนการแก้ปัญหาไม่ใคร่จะสนุกเท่าไร ออกจะธรรมดาน่ะครับ
ผมโอเคในช่วงตอนที่โจเซฟและแคลลี่มีกันและกันนะ ยามที่พวกเขารักกัน ช่วยกัน โอบอุ้มประคองกัน มันเป็นวาระที่น่ารัก (และจริงๆ มันคือไฮไลท์ที่ทำให้ภาคแรกดูแล้วฟีลกู้ด) แต่ประเด็นคือมันจะมีช่วงที่พวกเขาต้องแตกคอ-ทะเลาะกัน ซึ่งบอกตรงๆ เลยคือผมรู้สึกขึ้นมาในใจเลยว่า “เฮ้ เดี๋ยวก่อน พวกเธอน่าจะฉลาดกว่านั้นนะ” – ว่าง่ายๆ คือด้วยความเป็นพวกเขาแล้ว พวกเขาไม่น่าจะถึงขั้นแตกกันขนาดนั้น
อีกอย่างคือในภาคนี้นี่มีตัวอิจฉาชัดเจนหนึ่งคนครับ ซึ่งก็คือวิคตอเรีย (Laura James) ที่พยายามสร้างปัญหาและหาเรื่องให้พระนางทะเลาะกัน ซึ่งการที่แคลลี่เข้าใจผิดน่ะเป็นที่เข้าใจได้ครับ เพราะเธอยังไม่รู้พิษสงของวิคตอเรีย อีกทั้งเธอยังได้รับประสบการณ์ที่ไม่น่ารักนักในเมืองใหญ่ แต่โจเซฟน่ะน่าจะรู้ดีกว่าใคร เพราะเขาเคยเจอฤทธิ์ของผู้หญิงคนนี้มาไม่รู้เท่าไร แต่ก็ยังอุตส่าห์ตกหลุมซะงั้น
และปมปัญหาหนึ่งที่ถือว่าเป็นชนวนให้เกิดเรื่องใหญ่ ก็คือปมซ้ำเดิมจากภาคก่อน นั่นคือโจเซฟดันไม่ยอมบอกสิ่งที่ควรจะบอกกับแคลลี่ จนในที่สุดพอแคลลี่ต้องมารู้เอง เลยทำให้เกิดปัญหา – แทบอยากโดดเข้าจอไปถามโจเซฟเลยว่า “ครั้งก่อนยังไม่เข็ด-ไม่จำอีกเหรอพี่”
แล้วพอหลังจากเกิดปัญหาขึ้น ผมก็ยังลุ้นนะว่าตอนแก้ปัญหาน่ะจะออกมาสนุกไหม จะมีอะไรให้ลุ้นหรือเปล่า ผลก็คือไม่ค่อยเท่าไหร่ครับ ปัญหาได้ทางออกค่อนข้างง่าย เพียงแต่มันดูเป็นการคลี่คลายปัญหาแบบ “ตามบท” มากกว่าจะเป็นพระนางจับมือกันช่วยกันแก้
ภาคนี้เลยไม่กินใจซึมลึกแบบภาคแรกครับ ซึ่งก็แอบเสียดายเพราะดาราแสดงกันได้ดีเหมือนเดิม อย่างแววตา Lauren Swickard นางเอกของเรื่องนั้นสื่อความหมายได้ดีในหลายวาระ อย่างตอนพูดถึงเรื่องแต่งงานนี่คือรู้เลยว่าเธอน่ะมาหมดทั้งใจครับ เธอรักผู้ชายคนนี้จริงๆ มันได้อารมณ์นั้นเลย
Lauren Swickard ยังคงเขียนบทภาคนี้ และ Shaun Paul Piccinino ยังคงตามมากำกับครับ ผลที่ได้ก็ถือว่าเรื่อยๆ ยังไม่กลมกล่อมเท่าภาคแรก และจริงๆ เรื่องในภาคนี้หากกำหนดให้พระนางช่วยกันสู้ช่วยกันแก้น่าจะทำให้หนังออกรสขึ้น (เหมือนสลับกันน่ะครับ ภาคแรกพระเอกช่วยหาทางออกให้นางเอกในนาทีสำคัญ มาภาคนี้ก็ให้นางเอกยืนหยัดช่วยพระเอก จะได้ดูว่าคู่นี้สมน้ำสมเนื้อกันเพียงไหน)
แต่ก็พยายามมองในแง่ดีนะครับ อาจเพราะภาคแรกหนังทำให้ผมผูกพันกับตัวละครพระนางไปแล้ว เลยทำให้ผมรู้สึกอินกับการเลือกและการกระทำของตัวละครในภาคนี้
อีกคนที่แอบเสียดายนิดๆ อีกเหมือนกันคือแมนนี่ (David Del Rio) ที่ภาคนี้บทเยอะขึ้น และดูก็รู้ตั้งแต่ต้นเลยว่าเขาจะต้องได้แฟนในภาคนี้แน่นอน แต่แทนที่จะเพิ่มให้มันดูน่ารักน่าลุ้น ดันออกแนวต๊อง ยิ่งตอนท้ายที่แมนนี่เจรจาบางสิ่งกับแคลลี่เพื่อสร้างอนาคตให้กับตนเอง ก็ยิ่งทำให้คิดครับว่าถ้าในเรื่องแมนนี่ต๊องน้อยกว่านี้ น่ารักกว่านี้ และดูเป็นคนทุ่มเททุ่มใจในการทำงานมากกว่านี้ ตอนที่แมนนี่เจรจากับแคลลี่อาจพีคกว่าที่เป็นก็ได้ – แต่นี่เหมือนจู่ๆ แมนนี่ก็หักมาเป็นการเป็นงานเฉยทั้งที่ทำท่าต๊องและลอยไปลอยมาตลอดเรื่อง
โดยรวมหนังเลยออกแนวเรื่อยๆ ครับ แต่ในฐานะที่ชอบภาคแรกก็เลยรู้สึกเหมือนได้ตามมารับรู้เรื่องราวบทต้่อมาของพวกเขา แม้จะไม่เป็นไปดั่งใจ แต่ก็ดีใจที่ได้เห็นพวกเขาอีกครั้ง และอีกหนึ่งของดีในหนังต้องยกให้ดนตรีฝีมือของ Jamie Christopherson ที่ชวนให้นึกถึง Alan Silvestri สมัยขยันทำดนตรีให้หนังครอบครัวเลย