แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่ายังไง Fortress ของป๋า Bruce Willis คงไม่ได้สนุกอะไรมากมาย แต่ที่ตามมาดูก็เพื่อให้กำลังใจดาราแอคชั่นที่คุ้นเคยกันมาครับ สมัยหนุ่มๆ พี่เขาทำหนังสนุกๆ ให้เราดูไว้พอสมควร ตอนนี้ก็ตามให้กำลังใจอุดหนุนผลงานป๋าเขาสักหน่อย
เรื่องนี้ป๋า Bruce รับบทโรเบิร์ต อดีตซีไอเอที่ได้มาใช้ชีวิตอยู่ในชุมชนคนเกษียณอันห่างไกล แล้วพอล (Jesse Metcalfe) ลูกชายของเขาก็แวะมาเยี่ยมครับ จากนั้นไม่นานก็มีกองกำลังรับจ้างบุกมาเพื่อหมายจับตัวโรเบิร์ต นำทีมโดยบัลซารี (Chad Michael Murray) ชายผู้มีความแค้นกับโรเบิร์ต ทำให้โรเบิร์ตและพวกต้องหาทางรับมือวายร้ายกลุ่มนี้
หนังไม่ได้มันส์อะไรครับ ออกจะเรื่อยๆ ส่วนในแง่ของแอคชั่นส่วนใหญ่ก็คือยิงกัน แต่ถ้าว่ากันแบบเนื้อๆ แล้วผมว่าฉากบู๊ในเรื่องมีไม่ถึง 30% ครับ ส่วนใหญ่จะเน้นคุยกันเป็นหลัก ซึ่งตัวหนังก็พยายามทำให้เรื่องราวมันมีเหตุผลที่มาที่ไปล่ะครับ เลยใส่บทสนทนาให้ตัวละครทั้งหลายบรรยายกันเยอะอยู่ แต่ก็ว่ากันตามตรงว่าอยากได้อะไรมันส์ๆ มากกว่า
สำหรับผมแล้วสิ่งที่ดึงดูดให้ดูต่อจนจบไม่ใช่เนื้อเรื่องครับ แต่เป็นเหล่าดาราหน้าคุ้น สำหรับป๋า Bruce ก็เผื่อใจไว้แล้วหลังจากทราบเรื่องอาการป่วยของเขา ทำให้ไม่สามารถแสดงอะไรได้มากนัก ส่วนดาราเจ้าอื่นอย่าง Metcalfe และ Murray ก็ถือว่าโอเค แล้วนอกจากนี้ยังได้เจอ Shannen Doherty ด้วย ก็ถือว่าเปลี่ยนไปตามวัยครับ แล้วไหนยังผ่านการต่อสู้กับมะเร็งอีก ยอมรับว่าผมยังจำเธอสมัยเล่น Beverly Hills 90210 กับ Charmed ได้อยู่เลย – ได้เห็นหน้าเธอในเรื่อง แม้อายุจะมากขึ้น แต่ก็ทำให้นึกถึงวันเก่าๆ ได้เหมือนกัน
อีกคนที่ถือว่าขโมยซีนได้ไม่เลวคือ Michael Sirow ในบทเบลน รายนี้ไม่นึกว่าจะมีอะไรเด่น แต่ไปๆ มาๆ พี่ก็เด่นไม่น้อยเหมือนกัน
อีกสิ่งหนึ่งที่ถือว่าโอเคคือโลเกชั่นครับ เลือกได้ไม่เลว แล้วก็อย่างที่ผมเคยบอกว่าหนังสมัยใหม่แม้เนื้อเรื่องจะไม่เด็ดอะไร แต่อย่างน้อยภาพในหนังก็ออกมาคมชัด เลยพอจะทำให้หนังดูดีขึ้นมาบ้าง
รู้มาว่าหนังเรื่องนี้คิดบทโดย Emile Hirsch บอกชื่อบางท่านอาจจำไม่ได้ แต่ถ้าบอกว่าเขาคือพระเอกในหนัง The Girl Next Door, Into the Wild และ Speed Racer หลายคนก็คงจะร้องอ๋อขึ้นมาบ้าง – ถ้าว่าในแง่บท ก็เข้าใจความพยายามในการสร้างเรื่องราวน่ะครับ จริงๆ โครงเรื่องไม่เลวนะ รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่อง “การเงินดิจิตอล” อันเป็นประเด็นสำคัญอันหนึ่งในเรื่องก็เข้าท่าอยู่ เพียงแต่การเล่าเรื่องไม่ลื่นเต็มที่ และแอคชั่นไม่มันส์เท่าไร หนังเลยออกมาธรรมดา
แต่ขอโทษครับ หนังเขาประกาศตั้งแต่ตอนออกฉายเลยนะว่านี่จะเป็นหนังไตรภาค แล้วเขาทำออกมาเป็นไตรภาคจริงๆ ภาคนี้เป็นภาคแรก ส่วนภาค 2 ทำออกมาแล้ว (แต่ผมยังไม่ได้ดู) และภาค 3 กำลังตามมา
ผมก็ยึดหลักเดิมครับ กล้าทำก็กล้าดูอยู่แล้ว รอดูภาคต่อกันไป – แต่นี่คือเฉพาะผมน่ะนะครับ สำหรับท่านอื่นๆ ก็ขอบอกเลยว่าหนังไม่ได้คุ้มค่าแก่การดูขนาดนั้น เอา Die Hard มาดูใหม่น่าจะดีกว่า หรือเอาเวลาไปทำอย่างอื่นน่าจะเวิร์กกว่าครับ (ยกเว้นชอบดาราและอยากตามมาให้กำลังใจก็ว่ากันอีกที)
ดาวเดียวครับ
(4/10)